HomeSeminar & EventsSEAC แนะ ทำธุรกิจต้องรู้…เคล็ดลับสร้างความสำเร็จ Growth VS Scale up

SEAC แนะ ทำธุรกิจต้องรู้…เคล็ดลับสร้างความสำเร็จ Growth VS Scale up

แชร์ :

“อาเซียน” ถือเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถ มีโอกาสจากการลงทุนและประสบความสำเร็จในระดับโลกได้อีกมาก หากเลือกดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจได้ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเตรียมความพร้อม ในเรื่องความสามารถของคนทั้งในด้าน Mindset และ Skillset และศึกษาข้อมูลอื่นๆ อย่างถูกต้อง และลึกซึ้ง

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ขณะที่ “เมียนมา” หรือ “พม่า” เป็นหนึ่งในประเทศในอาเซียนที่มีสถิติการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 – 2561 สูงถึง 7.2% และคาดการณ์ว่าในปีนี้ จะเติบโตขึ้นอีก 6.6% ปัจจัยมาจากองค์ประกอบหลายส่วน ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทิศทางที่ดีขึ้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเขตเศรษฐกิจพิเศษ และกฎหมายการลงทุนของชาวต่างประเทศ ส่งผลให้ดัชนีความน่าเชื่อถือและสภาพเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในพม่ายังคงจะต้องประสบปัญหาอีกมากมาย หากไม่รีบเปลี่ยนกลยุทธ์จากเน้นเรื่องการเติบโตของธุรกิจ (growth) มาเป็นการปรับขยาย (scale up) ซึ่งจะตอบโจทย์ระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

ล่าสุด ภายในงาน Scaling Your Business: Grow – Connect – Leverage Business Success จัดโดย SEAC ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน (Southeast Asia Center) ขึ้นเพื่อช่วยสร้างความเข้าใจ และเปิดเผยถึงองค์ประกอบสำคัญในการทำให้กลยุทธ์การปรับขยาย (Scale Up) เกิดขึ้นได้จริง ตอบโจทย์ในการพัฒนาคนและองค์กรในเมียนมา เพื่อการทำธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีกว่า

โดยภายในงานได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาคเอกชนชั้นนำ สื่อมวลชน สมาคม นักลงทุน นักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลมากมายในเมียนมา อาทิ Myanmar Brewery Limited, UMG Group of Companies, MPRL E & P Pte Ltd, City Holdings Limited, Yoma Strategic Holdings Limited, KBZ Group of Companies เป็นต้น กว่า 400 คน

นางอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในเมียนมาว่า “แม้ธุรกิจในเมียนมาจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโต (Growth) อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน การปรับขยาย (Scale) ต่างหาก คือ กุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างแท้จริง แต่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของกลยุทธ์นี้ เพราะยังสับสนระหว่างคำว่า เติบโต (Growth) และปรับขยาย (Scale) ที่มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”

Growth กับ Scale Up ต่างกันอย่างไร ?

สำหรับความหมายของคำว่า กลยุทธ์การสร้างธุรกิจให้เติบโต (growth) คือ เน้นการโตในด้านรายได้ แต่กลยุทธ์การปรับขยาย (Scale Up) คือ การปรับวิธีและรูปแบบการทำงานให้มีการใช้ทรัพยากรหรือการลงทุนที่น้อย แต่เพิ่มในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้น เพื่อนำมาซึ่งการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Exponential Growth) โดยองค์ประกอบในการทำให้ธุรกิจสามารถ Scale Up ได้นั้นประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือ

กรอบความคิดหรือ Mindset เป็นตัวสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์เรา และเมื่อเราต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในการขยายตัวทางธุรกิจ กุญแจสำคัญ คือ การสร้างกรอบความคิดให้คนมีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ หรือเรื่องของ Agility รวมทั้งการสร้างให้คนมี Outward Mindset ให้คนทำงานเป็นทีม เห็นเป้าหมายขององค์กรเป็นหลัก เพื่อสร้างผลงานที่ตอบโจทย์องค์กร

ทั้งนี้การสร้าง Agility ให้เกิดขึ้นในองค์กร จำเป็นต้องทำทั้งเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการความคิดของผู้นำและพนักงานในองค์กร การเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจ และการค้นหาเทคโนโลยีที่ใช่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะที่ Outward Mindset จะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้คนในองค์กรมองเห็นโจทย์ใหญ่ของธุรกิจร่วมกัน และผนึกแรงเพื่อไปถึงเป้านั้นอย่างพร้อมเพรียงและรวดเร็ว

องค์ประกอบถัดมา คือ การทดลองและลงมือทำตามวิถีของ Design Thinking ที่เน้น ให้กล้าทำ กล้าผิดพลาด ล้มให้ไว ทำความเข้าใจลูกค้าให้มากที่สุด และมีสายตาที่เฉียบแหลมในการมองสถานการณ์ให้ขาดเพื่อสร้างเป็นบทเรียนในการก้าวต่อไป ซึ่งเมื่อเรารู้ว่าตรงไหนทำแล้วดี ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าก็จะทำให้เรา Scale ได้ง่ายขึ้น และดีขึ้น

ส่วนสุดท้าย ได้แก่ การพัฒนาความสามารถของคนในองค์กร  ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักที่สำคัญที่สุด เพราะคนเป็นฟันเฟืองหลักในการดำเนินธุรกิจ การ Scale Up จะเกิดไม่ได้เลยหากคนไม่พร้อมทั้งในเรื่อง Mindset และ Skillset องค์กรต้องระบุทักษะที่คนในองค์กรจำเป็นต้องมีที่จะทำให้พวกเขาสามารถ Scale ได้ และวิธีการพัฒนาให้คนในองค์กรมีทักษะเหล่านั้น จะใช้วิธีเทรนนิ่งแบบเดิมๆ ไม่ได้ เพราะไม่ทันต่อสถานการณ์ และที่สำคัญการพัฒนาทักษะของคนในช่วงนี้ นอกจากต้องทำกับกลุ่มที่ใช่แล้วยังต้องทำด้วยวิธีและรูปแบบที่ใช่เพื่อให้เห็นผลอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ไม่เพียงแค่เมียนมาประเทศเดียวเท่านั้นที่ต้องปรับ เพราะธุรกิจชั้นนำของไทยหลายแห่ง ก็ล้วนแล้วแต่ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาแล้วทั้งสิ้น  เช่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทฯ ต่างมองว่า ทรัพยากรคน (Human Resource) คือ หัวใจสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้ หากอยากให้ธุรกิจมีการปรับขยายอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จ

ปรับ Mindset โละการทำงานแบบไซโล

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภายในงาน กล่าวว่า “การที่เราเป็น เอพี (ไทยแลนด์) อย่างทุกวันนี้ได้ ต้องผ่านอุปสรรคและความท้าทายหลากหลายรูปแบบ แต่ก่อนเราบริหารองค์กรของเราด้วยวิธีการทำงานแยกส่วนแบบไซโล ทำให้องค์กรช้าและไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ ดังนั้น จึงผุดไอเดียใหม่ คือ การบริหารองค์กรให้อิสระ (Independent) และมีความรับผิดชอบ (Responsibility) มากขึ้น ด้วยการปรับแนวคิดของคนในองค์กรโดยนำ Outward Mindset และ Design Thinking มาใช้ ทำให้เอพี (ไทยแลนด์) ทุกวันนี้สามารถขยายตัวได้อย่างไม่หยุดยั้ง”

กระจายอำนาจ ให้โอกาสพนักานทำงานด้วยตัวเอง

ด้าน นายเรืองชาย สุพรรณพงศ์ Chief Disruption Officer และ นางชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เล่าว่า ในขณะที่บริษัทเริ่มโต ขยับขยายจำนวนสาขามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในและนอกประเทศ จนถึงจุดที่เราไม่สามารถเข้าไปควบคุมมาตรฐานการบริการได้อย่างทั่วถึง เราได้ตระหนักว่า การรวมศูนย์อำนาจไว้ตรงกลาง (Centralized) ไม่ตอบโจทย์การทำธุรกิจของเราอีกต่อไป

“เราทดสอบ ทดลองและล้มเหลวมาหลายรอบ จนได้มาพบว่าวิธีการดำเนินธุรกิจแบบกระจายอำนาจ (Decentralized) เปิดโอกาสให้พนักงานทำงานได้ด้วยตัวเอง แต่ยังคงไว้ซึ่งเป้าหมายใหญ่ของบริษัทผ่านการมี Outward Mindset ที่ทุกคนเข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ของตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่และการกระทำนั้นจะส่งผลให้องค์กรเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างไร พวกเขาทำอะไรได้บ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน เป็นวิธีการช่วย Scale Up ที่เห็นผลชัดเจนที่สุด”

จะเห็นได้ว่า การเดินหน้าลงทุน เช่น ในภูมิภาคอาเซียนเอง หรือในประเทศอื่นๆ ก็ตาม ต้องศึกษาความเป็นไปได้ให้รอบด้าน ทำความเข้าใจตลาดและความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง การมี Experimental Mindset ที่พร้อมจะลงมือทำ ลองผิดลองถูก และเรียนรู้ด้วยความรวดเร็ว ผนวกกับความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาอยู่เสมอ


แชร์ :

You may also like