เป็นที่รับทราบและเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้วว่า Data เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยเฉพาะยุค Insight Marketing อย่างในปัจจุบัน ที่ความต้องการต่างๆ ของผู้บริโภคกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางให้เกิดการปรับเปลี่ยนทั้งวิถีชีวิต พฤติกรรมในการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ นำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวและก้าวตามให้ทัน
ทำให้เราจะเห็นภาคธุรกิจทั้งหลายให้ความสำคัญกับเรื่องของ Big Data รวมทั้งการเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการวิเคราะห์และต่อยอดประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่ เนื่องจากปัจจุบันบุคลากรทางด้านนี้ยังคงขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็น Data Scientist, Data Analytic รวมทั้งในสายงานคอมพิวเตอร์อย่าง Computer Science หรือ Computer Engineering
หายากกว่า Data Scientist ก็ Data Artist นี่แหละ
ถึงแม้ว่าความต้องการบุคลากรในสายงาน Data Scientist และทักษะทางด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่างๆ จะมีอยู่ในปริมาณที่สูง จนทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างแท้จริง เนื่องจากยังถือเป็นทักษะใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานตามการเติบโตของเมกะเทรนด์อย่าง Big Data แต่ถึงจะมี Supply อยู่น้อยสวนทางกับดีมานด์ที่เกิดขึ้นในตลาดอย่างมหาศาล แต่ก็ยังพอเห็นผู้ที่มีทักษะในเรื่องเหล่านี้อยู่จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในบริษัทที่จำเป็นต้องบริหารจัดการข้อมูลจำนวนมาก เช่น ภาคธุรกิจการเงินและธนาคาร หรือมีเดียเอเยนซี่ต่างๆ ก็จะมี Data Science หรือ Data Analytic เป็นของตัวเอง
ขณะที่มุมมองจาก ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตร Master in Branding and Marketing (MBM) ภาษาอังกฤษ และอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) มองว่า แม้ทักษะทางด้านความรู้ความเข้าใจในเรื่องข้อมูลต่างๆ จะมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก แต่การมีความรู้ความเข้าใจแค่เรื่องของ Data เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอในการตอบโจทย์ธุรกิจได้อีกต่อไป เนื่องจากข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถรับรู้และเข้าใจอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้บริโภคได้ จึงต้องเพิ่มทักษะในการเรียนรู้และความสามารถในการเข้าใจมนุษย์ลงไปด้วย หรือต้องขยับจากการเป็นแค่ Data Scientist เพื่อเรียนรู้ไปสู่การเป็น Data Artist ให้ได้ด้วย
เนื่องจาก กลุ่ม Data Scientist จะจัดอยู่ในกลุ่มของนักสถิติ นักวิทยาศาสตร์ที่เน้นเรื่องของการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล แบบมี Logic มารองรับ และต้องอาศัยความรู้ในเชิงเทคนิคเพื่อทำความเข้าใจข้อมูลต่างๆ ที่บางครั้งอาจจะเข้าใจได้ยาก โดยมีกลุ่มงานในสายเดียวกันนี้ อาทิ Data Analytic, Computer Science, Computer Engineer
ส่วนกลุ่มที่เป็น Artist ส่วนใหญ่จะมีความเป็นศิลปินจ๋า ทำให้มักจะเน้นเรื่องของ Emotional แบบสุดโต่ง และมักจะมองสิ่งต่างๆ เพื่อถ่ายทอดออกมาจากมุมของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งอาจจะทำให้บางครั้งคนอื่นๆ รอบข้างไม่สามารถเข้าใจได้
ดังนั้น Data Artist จะกลายเป็นจุดสมดุลที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างการผสมผสานทักษะต่างๆ ของนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ Data จากฟากที่เป็น Functional และฟากของ Emotional จากความเป็นศิลปินเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างมีความพอดี
“คนที่เป็น Data Artist คือ คนที่สามารถนำข้อมูล Big Data ที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างมีศิลปะ เพื่อสามารถนำไปสร้างความสุขให้กับลูกค้าหรือผู้บริโภคไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ เพราะบางครั้งการมองแค่เรื่องข้อมูลอย่างเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ เนื่องจากหลายๆ ครั้งที่ปัญหาของลูกค้าไม่ได้เกิดจากการคิดเป็น Logic แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะคิดและตัดสินใจด้วย Emotional ค่อนข้างมากจึงจำเป็นต้องนำความรู้จากฝั่งข้อมูลทั้งหมดที่มีมาผสมผสานอยู่บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนเข้าไปด้วย ซึ่งในปัจจุบันอาจจะมองว่าบุคลากรสาย Data Science, Data Analytic หาได้ยากแล้ว แต่หากมี Skill ที่สามารถเป็น Data Artist ได้ เราจะกลายเป็น One of A Kind หรือเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ ทำให้สร้างความแตกต่างและ Unique ให้กับตัวเองได้”
จะเป็นศิลปินได้ต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์
สิ่งสำคัญที่ Data Artist จำเป็นต้องมีคือ ความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะการฝึกฝน Human Skill ต่างๆ ที่คอมพิวเตอร์หรือ AI ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็น Creativity หรือการมีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบต่างๆ Sense การใช้ประสาทสัมผัสและความรู้สึก เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจต่างๆ EQ (Emotional Quotient) ความฉลาดในการเรียนรู้และเข้าใจเรื่องของอารมณ์ที่หลากหลายและลึกซึ้งของคน และสุดท้ายคือ SQ (Social Quotient) หรือความสามารถในการเข้าสังคมต่างๆ
“การเป็น Data Artist จะทำให้สามารถเลือกหยิบข้อมูลที่น่าสนใจ ที่มีความ Sexy หรือมีโอกาสในการนำไปต่อยอดได้ หรือต้องมีความเป็น Data Visualize ที่มากกว่าแค่การเป็นนักสถิติที่มองหรือคิดจากแค่ตัวเลขตามสถิติ เพราะไม่ใช่ว่าข้อมูลทุกอย่างจะนำไปใช้ได้ แต่ต้องเลือกหยิบประเด็นที่จะนำมาสื่อสารต่อเป็น หรือสามารถนำไปคิดต่อออกมาเป็นรูปเพื่อให้คนนำไปใช้ต่อได้ ที่สำคัญคือ ต้องมี Sense ที่ดี เพราะแม้ว่าข้อมูลจะชี้ชัดหรือมีแนวโน้มว่าจะดี แต่หากเป็นเรื่องที่สื่อสารหรือทำความเข้าใจได้ยาก ก็ควรเลือกที่จะหยิบประเด็นอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันมาสื่อสาร หรือเลือกมุมใหม่ในการหยิบมาต่อยอดได้อย่างเหมาะสม”
สำหรับวิธีคิดหรือทักษะของความเป็นศิลปินเหล่านี้ หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่สามารถฝึกให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน ด้วยการฝึกคิดบ่อยๆ โดยเฉพาะการคิดถึงคนอื่นให้มากๆ และพยายามที่จะทำความเข้าใจคนอื่นให้มากกว่าการมองจากมุมของตัวเองหรือเข้าใจตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียว ผ่านกระบวนการคิดในรูปแบบ Outside In Thinking มากกว่าการคิดแบบ Insight Out ที่มองจากตัวเองเป็นหลัก ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นหนึ่งในปัญหาที่ภาคธุรกิจในปัจจุบันกำลังประสบอยู่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเด็กจบใหม่หลายๆ คนที่เข้าไปทำงานจริงๆ แม้ว่าหลายคนจะมีความรู้ความสามารถหรือมี Hard Skill ที่ดี แต่ส่วนใหญ่จะขาดทักษะที่เป็น Soft Skill เพราะแม้ว่าองค์ความรู้ในเรื่องของดาต้าจะเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น แต่ความสามารถในการเข้าใจคน หรือทำงานร่วมกับคนอื่นได้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดสำหรับทุกองค์กร
Mindset ด้านการศึกษา กำแพงสำคัญ
ทักษะหลายๆ อย่างใน Human Skill หรือ Human Literacy เป็นวิชาพื้นฐานของการเรียนศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Creativity หรือ Sense ต่างๆ ขณะที่ค่านิยมในการเรียนในประเทศไทยโดยเฉพาะจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มักอยากให้ลูกเรียนในสายวิชาวิทย์-คณิต และมุมมองต่อสายการเรียนในภาควิชาศิลปะที่มักไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกฝังรากความคิดมาเป็นระยะเวลานานและต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะความท้าทายสำคัญในการเปลี่ยน Mindset ของพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือแม้แต่ตัวเด็กเอง
“สิ่งที่พ่อแม่อาจจะยังมองไปไม่ถึงคือ อาชีพที่พ่อแม่หรือสังคมมองว่าเป็นอาชีพที่ดีในขณะนี้ ในอนาคตจะยังมีอยู่ หรืออาจจะถูกผลกระทบจาก Technology Disruption หรือไม่ ขณะที่ Skill หรือทักษะที่สำคัญสำหรับอาชีพใหม่ๆ ในอนาคต โดยเฉพาะทักษะในกลุ่ม Deep Soft Skill ที่เข้าใจอารมณ์ที่ละเอียดลึกซึ้ง หรือเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์จะกลายเป็นทักษะสำคัญ โดยที่การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้น สายการเรียน หรืออาชีพที่ดีในปัจจุบัน อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีในอนาคตอีก 30 ปีข้างหน้าก็เป็นไปได้”
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การขับเคลื่อนและความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะมาจากฝั่งของ Consumer Driven เป็นหลัก เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทุกวัน ทำให้มีความต้องการใหม่ๆ อยากได้สิ่งใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา นำมาซึ่งการพัฒนาในฟากของเทคโนโลยีให้เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการต่างๆ ทั้งเพื่อความสะดวกสบาย หรือความปลอดภัยต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น นำมาสู่นวัตกรรมใหม่ๆ หรือแม้แต่อาชีพใหม่ๆ ที่ปรับตัวและพัฒนาตามเพื่อให้ยังคงสามารถตอบโจทย์ความต้องการต่างๆ ของลูกค้านั่นเอง
Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand