ทุ่มเม็ดเงินสูงถึง 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนปั้นโรงภาพยนตร์ระดับแฟล็กชิพมาสเตอร์พีซอย่าง “ไอคอน ซีเนคอนิค” (ICON CINECONIC) ซึ่งนับเป็นการลงทุนสูงที่สุดของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ในรอบ 13 ปี และถือว่ามากขึ้นกว่าเท่าตัวหลังจากเปิดตัวโรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนโรงภาพยนตร์ระดับแฟล็กชิพที่ใช้เงินลงทุนสูงที่สุดของเมเจอร์ตลอดช่วงที่ผ่านมา ด้วยเม็ดเงินราว 200 ล้านบาท
นอกจากเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ในรอบ 13 ปีแล้ว โปรเจ็กต์นี้ยังมี Leader เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่เจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่าง คุณวิศรุต พูลวรลักษณ์ ทายาทคนโตของ คุณวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้ามาช่วยบริหารงานได้ราว 2 ปี ในตำแหน่งผู้อำนวยการ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป
3 จุดเด่น โรงภาพยนตร์ระดับแฟลกชิพมาสเตอร์พีซ
สำหรับรายละเอียดโรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค ตั้งอยู่ที่ไอคอน สยาม โดยวางตำแหน่งให้เป็นโรงภาพยนตร์ระดับแฟล็กชิพไม่ต่างจากการมีสยามพารากอนของย่านฝั่งธน และยังใช้เกณฑ์จากพารากอน ซีนีเพล็กซ์มาเป็นเกณฑ์ในการพัฒนาโครงการใหม่นี้ เพื่อให้สามารถยกระดับมาตรฐานได้มากกว่าที่เมเจอร์เคยทำได้มาก่อนหน้านี้ แม้ว่าปัจจุบันโรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ จะเป็นโรงภาพยนตร์ที่ทั้งหรูหรา สวยงาม และมีเทคโนโลยีในการฉายที่ทันสมัยที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็ตาม โดยจุดเด่นสำคัญของโรงภาพยนตร์ ไอคอน ซีเนคอนิค คือ การผสมผสานระหว่างอัตลักษณ์ของความเป็นไทยและความเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมทั้งความโดดเด่นและแตกต่างในมิติต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ให้ความสำคัญกับการนำอัตลักษณ์ของไอคอน สยาม ในเรื่องความภาคภูมิใจความเป็นไทย มาอยู่ในทุกๆ องค์ประกอบของโครงการนี้ จนทำให้โรงภาพยนตร์แห่งนี้ที่สวยที่สุดของเมเจอร์กรุ๊ป ตั้งแต่ที่เคยทำมา รวมทั้งเป็นหนึ่งในโรงภาพยนตร์ที่สวยที่สุดในโลก ด้วยฝีมือการออกแบบของ มร.ดิเอโก กรอนดา (Mr.Diego Gronda) ดีไซเนอร์ระดับโลก ผู้ออกแบบโรงละครโกดัก เธียเตอร์ ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานประกาศผลรางวัลออสการ์ รวมทั้งผลงานที่ผ่านมาได้ออกแบบ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต และเมกา ซีนีเพล็กซ์ ที่ให้บรรยากาศความหรูหราทันสมัยเสมือนโรงแรม 6 ดาวมาแล้ว โดยได้ใช้เวลาในการเตรียมตัวสำหรับโปรเจ็กต์นี้ไม่ต่ำกว่า 5 ปีเลยทีเดียว
ซึ่งนอกจากเรื่องของการออกแบบแล้ว ยังเพิ่มกิมมิคความเป็นไทยในรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ป๊อปคอร์นที่จำหน่ายอยู่ในสาขานี้ นอกจากจะมีรสชาติหลักอย่างหวาน เค็ม และชีสแล้ว ยังเพิ่มป๊อบคอร์นรสน้ำยาปู และป๊อปคอร์นรสหมูสะเต๊ะ ที่จะมีจำหน่ายเฉพาะแค่ในโรงไอคอน ซีเนคอนิคเท่านั้น โดยจะมีการพัฒนารสชาติใหม่ๆ ในสไตล์ Thai Taste ผลัดเปลี่ยนมาให้ลูกค้าได้ทดลองในเดือนต่อๆ ไป
2. ความล้ำหน้าของเทคโนโลยีในการฉาย เนื่องจากเป็นโรงภาพยนตร์แห่งแรกที่ฉายด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์เพล็กซ์ในทุกโรงในโรงภาพยนตร์แห่งนี้ โดยเครื่องฉายเลเซอร์จะให้ภาพคมชัดสมจริงมากกว่าเดิมถึง 3 เท่า แทนการใช้เครื่องรุ่นก่อนที่เป็นหลอดซีนอน ที่เมื่ออายุในการใช้งานระยะหนึ่งแล้วคุณภาพของแสงจะดร็อปลง ส่วนเลเซอร์จะมีจุดเด่นในเรื่องความสว่าง ทำให้มีสีสันสดใส และมีคุณภาพที่สม่ำเสมอตลอดอายุการใช้งาน รวมทั้งการนำระบบ Smart Ticket มาให้บริการ ทั้งการซื้อตั๋วผ่านแอปพลิเคชั่นเมเจอร์ได้ หรือการเลือกซื้อผ่านตู้จำหน่ายอัตโนมัติ เพื่อเลือกที่นั่งที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง โดยจะพยายามพัฒนาการเชื่อมต่อระบบซื้อตั๋วให้ Seamless ผ่านโมบาย และจะลดจำนวน Box Office ลงในอนาคต
3. การทรานส์ฟอร์มโปสเตอร์หรือแบนเนอร์ต่างๆ ที่เคยอยู่ในโรงภาพยนตร์มาเป็นการใช้จอ LED ในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มบรรยากาศในโรงภาพยนตร์และช่วยเพิ่มความมีชีวิตให้กับโปสเตอร์ต่างๆ ด้วยการฉายเทรลเลอร์ภาพยนตร์ในแต่ละโปรแกรมแทนการใช้โปสเตอร์กระดาษที่จะเป็นภาพนิ่ง ทำให้เพิ่มความตื่นเต้นให้กับลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น และขนาดของจอที่ใหญ่มากขึ้น และเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีจอ LED มากที่สุดในประเทศก็ว่าได้
“โปรเจ็กต์นี้จะใช้เงินลงทุนมากกว่าที่พารากอนถึง 2 เท่า เพื่อปั้นให้เป็นหนึ่งในโรงภาพยนตร์ที่ดีและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยแบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 260 ล้าน ส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยี จอภาพ หรือในมิติของ Hi-touch ต่างๆ รวมงบลงทุนทั้งสิ้นกว่า 400 ล้านบาท ขณะที่จำนวนโรงจะมีน้อยกว่าในพารากอนที่มี 16 โรง แต่ที่นี่มี 13 โรง และอีกหนึ่งคอนเซ็ปต์พิเศษของธุรกิจโรงภาพยนตร์ เพื่อให้เป็นอีก Destination ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบถ้วน และให้ความสำคัญกับการมีพื้นที่ Waiting Area ที่ค่อนข้างมาก เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและเป็นที่สำหรับพบปะพูดคุยกันของลูกค้าทั้งในช่วงก่อนชมและหลังชมภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการเติมเต็มให้มี Movie Experience ได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น”
ตอบโจทย์ครบทุก Segmentation
คุณวิศรุต ให้รายละเอียดโรงภาพยนตร์ไอคอน ซีเนคอนิค ซึ่งถือเป็นโรงภาพยนตร์เพียงแห่งเดียวที่มี Segmentation ของโรงภาพยนตร์ ที่สามารถรองรับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมครบทุกกลุ่ม ด้วยจำนวนโรงภาพยนตร์ 13 + 1 (13 โรง + 1 คอนเซ็ปต์ใหม่) ทำให้สามารถรองรับประชากรย่านฝั่งธนได้ทั้งหมด รวมทั้งยังเป็นโรงภาพยนตร์เพียงแห่งเดียวของย่านฝั่งธนที่อยู่ในระดับลักซ์ชัวรี่เช่นเดียวกับสยาม พารากอน และมีจุดขายค่อนข้างมากทำให้มีโอกาสในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น จึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แม้ว่าโดยรอบฝั่งธนจะมีโรงหนังของเมเจอร์ ค่อนข้างครอบคลุม ทั้งในโซนปิ่นเกล้า และบางแค หรือในท่าพระที่เป็นของผู้เล่นอื่นในตลาดก็ตาม
“กลุ่มเป้าหมายที่นี่จะใกล้เคียงกับที่พารากอน คือ เป็นกลุ่มคนต่างชาติและ Expat 30% และอีก 70% เป็นคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางด้วยเรือจากทุกท่าก็สามารถเดินทางมาที่นี่ได้ รวมทั้งในอนาคตหากเปิดบริการสายสีทองก็จะทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น จะยิ่งทำให้มีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายเดินทางเข้ามาได้เพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายตั๋วไว้ที่ราวๆ ปีละ 2 ล้านใบ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับพารากอนแม้ว่าจำนวนโรงจะน้อยกว่า โดยมีที่นั่งอยู่ประมาณ 2,700 ที่นั่ง”
ขณะที่การจัดกลุ่มของโรงหนังภายในไอคอน ซีเนคอนิค ยังสามารถตอบโจทย์ได้ตั้งแต่กลุ่มระดับบนแบบลักซ์ชัวรี่ที่มีกำลังซื้อสูง มาจนถึงกลุ่ม Movie Lover ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และความตื่นเต้นในการดูหนัง กลุ่มเด็กและครอบครัว โดยมี Core Target อยู่ที่กลุ่ม Movie Goer อายุตั้งแต่ 18-35 ปี ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน และข้าราชการที่อยู่โดยรอบฝั่งสี่พระยา เจริญกรุง หรือคลองสาน วงเวียนใหญ่ เป็นต้น ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวกรุงเทพฯ และเลือกที่พักในย่านดังกล่าว รวมทั้งยังให้น้ำหนักสำคัญทั้งภาพยนตร์ซาวด์แทร็กและพากษ์เสียงภาษาไทย เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของคนในพื้นที่ โดยราคาตั๋วเริ่มต้นจะอยู่ที่ 250 บาท ใกล้เคียงกับที่พารากอน
ขณะที่รูปแบบโรงภาพยนตร์สำหรับเข้าถึงแต่ละกลุ่มเป้าหมาย จะประกอบไปด้วย
– โรง VIP คอนเซ็ปต์ ICONIC Dine in Cinema รองรับกลุ่มกำลังซื้อสูงที่ต้องการความ Privacy ให้ความรู้สึกเหมือนชมภาพยนตร์อยู่ที่บ้าน โดยสามารถสั่งอาหารเข้ามารับประทานไปขณะที่ดูหนัง พร้อมบริการหมอน ผ้าห่ม รองเท้าสลิปเปอร์ รวมทั้งบริการจากพนักงานภายในโรงแบบส่วนตัว และห้องน้ำระบบอัตโนมัติที่แยกออกมาเฉพาะส่วน ให้สามารถใช้บริการแบบส่วนตัวคนเดียว นอกจากนี้ยังสามารถใช้บริการเล้าจน์ที่อยู่ด้านหน้าโรงในช่วงก่อนและหลังการชมภาพยนตร์ได้ด้วย
–โรง IMAX ที่จะให้คุณภาพของภาพที่ดีกว่า รู้สึกว่าภาพอยู่ใกล้ตามากขึ้น รวมทั้งการใช้ระบบการฉายรุ่นใหม่ล่าสุดของไอแม็กซ์ ที่รองรับการฉายภาพแบบ High Frame Rate ทำให้ภาพสมูธมากขึ้นในฉากที่ภาพมีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ลดความเบลอของภาพลง ซึ่งความสมบูรณ์แบบเหล่านี้ จะเพิ่มประสบการณ์ไปอีกระดับสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรักการดูหนัง และให้ความสำคัญกับเรื่องของ Movie Experience
– โรง 4DX ซึ่งถือเป็นโรงลำดับที่ 10 ของเมเจอร์ มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่โรงอื่นๆ ยังไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเอฟเฟ็กต์พายุหมอก และระบบฉายแบบเลเซอร์ ที่ให้สีสันสดใส และมองเห็นละเอียดต่างๆ ได้อย่างชัดเจนรวมทั้งระบบเสียงที่คมชัด เพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นและชอบความแปลกใหม่
- โรง Kids Cinema ซึ่งเป็นโรงสำหรับเด็กลำดับที่ 10 ของเมเจอร์เช่นเดียวกัน โดยจะมีคอนเซ็ปต์ที่ต่างจากที่อื่น และหรูหรามากกว่า ด้วยคิดส์เลาจน์หรือปาร์ตี้รูมเพื่อรองรับการจัดงานต่างๆ ด้วย รวมทั้งยังมีห้องน้ำสำหรับเด็กโดยเฉพาะ สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ
เพิ่มคอนเซ็ปต์ใหม่ รุกโมเดลแบบขายเหมา
นอกจากความครบถ้วนของโรงภาพยนตร์ในรูปแบบต่างๆ แล้ว ทางเมเจอร์ยังได้เพิ่มคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ชื่อว่า Living Room Theatre ที่เหมือนกับห้องดูหนังในบ้านพร้อมกลุ่มเพื่อนหรือคนสนิท ด้วยบรรยากาศส่วนตัวแบบ Private Party พร้อม Exclusive Lounge ที่มีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และบริการ Entertainment ต่างๆ ทั้งการฉายหนังตามโปรแกรม ฉายแบบ On Demand ทั้ง Movie & Music เพื่อรองรับ Private Party ประชุม สัมมนา หรือกิจกรรมต่างๆ ทั้งของ Coporate และในแบบกลุ่มบุคคล ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มการจัดงานในรูปแบบนี้เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาทางเมเจอร์ฯ เริ่มให้ความสำคัญกับการทำตลาดแบบเหมาโรงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้โรงภาพยนตร์ VIP ต่างๆ ที่อยู่ในสยามพารากอน มาใช้ในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ตามทิศทางในการเติบโตของรายได้จากขาของกลุ่ม Corporate ที่เข้ามาเหมาโรงในการทำกิจกรรมร่วมกับลูกค้าหรือดีลเลอร์เพิ่มมากขึ้น และด้วยฐานะที่เป็นอีกหนึ่ง Destination ทำให้โรงไอคอน ซีเนคอนิค สามารถตอบโจทย์ตลาดในกลุ่มเหมาโรงได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มขนาดเล็กแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่สามารถใช้ห้อง VIP หรือ Living Room หรืองานขนาดใหญ่ที่มีคนจำนวนมากอย่างโรง IMAX หรือโรงธรรมดาก็สามารถรองรับการจัดงานได้เช่นเดียวกัน
“คอนเซ็ปต์ Living Room จะช่วยเพิ่มตลาดในรูปแบบของการเหมาได้มากขึ้น ทั้งจากลูกค้ากลุ่ม Corporate ในการจัดกิจกรรมหรือสัมมนาต่างๆ และจากกลุ่ม Consumer เพื่อจัดงานไพรเวทปาร์ตี้ในแต่ละโอกาส หรืองานทอล์กโชว์ โดยจะคิดค่าบริการคู่ละ 4,500 บาท หรือเหมาจ่ายรวม 45,000 บาท ซึ่งจะรวมทั้งค่าอาหาร เครื่องดื่ม และพนักงานคอยดูแลบริการ รวมทั้ง Entertainment ต่างๆ แล้ว ซึ่งในช่วงแรกยังมีการจัดโปรโมชั่นในราคา 3 หมื่นบาท ”
การรุกตลาดในโมเดลขายเหมาเพิ่มมากขึ้น ยังจะช่วยเพิ่มรายได้จากกลุ่มคอร์ปอเรท ที่มาทั้งจากการขาย Cinema Ad การขายแบบเหมาโรง รวมทั้งการเข้ามาเป็น Sponsorship Naming ในโรงภาพยนตร์ต่างๆ ซึ่งในไอคอน ซีเนคอนิค ขณะนี้มี 3 โรงภาพยนตร์ ที่มีเนมมิ่งสปอนเซอร์ ได้แก่ บริษัท เจ้าพระยามหานครจำกัด (มหาชน) หรือ CMC ในโรง 4DX ภายใต้ชื่อ CMC 4DX, ธนาคารออมสิน ในโรงภาพยนตร์ IMAX ภายใต้ชื่อ GSB Presents IMAX และ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์ VIP Lounge ภายใต้ชื่อ THAI Smooth As Silk Premier Cinema รวมทั้งยังได้เป็ปซี่ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ในการให้บริการเครื่องดื่มภายในเล้าจน์ต่างๆ รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการหาเนมมิ่งสปอนเซอร์เพิ่มเติม โดยเฉพาะในโรงลีฟวิ่งรูม และคิดส์ซีเนม่าที่แบรนด์ต่างๆ ค่อนข้างให้ความสนใจ และอยู่ระหว่างการเจรจา
“ปัจจุบันรายได้จากฝั่ง Corporate โดยเฉพาะรายได้จากการเหมาโรงยังมีสัดส่วนไม่มากอยู่ที่ราวๆ 5% โดยเชื่อว่าในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้มากขึ้น เพราะมีโอกาสในการใช้พื้นที่โรงหนังในหลายๆ โอกาส ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวสินค้า การจัดปาร์ตี้ หรือกิจกรรม CRM ของแบรนด์ต่างๆ โดยเชื่อว่าในอนาคตรายได้จากกลุ่มนี้จะสามารถเติบโตได้จนมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 10% ภายในปีหน้า”
ขณะที่โอกาสในการเติบโตของธุรกิจโรงหนังในฐานะผู้นำตลาดทางเมเจอร์ประเมินไว้ว่า ยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกค่อนข้างสูงมาก ทั้งจากอัตราการเข้าชมภาพยนตร์ของคนไทย (Occupancy Rate) ที่ยังไม่สูงมาก ขณะที่ในหลายๆ ประเทศอย่างอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มี Occupancy ที่ค่อนข้างสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จะอยู่ในระดับ 30-40% ขณะที่ไทยยังอยู่ในระดับ 20-30% รวมทั้งการผลักดันการเข้ามาชมภาพยนตร์ของคนไทยให้มากขึ้น (Admission) ด้วยการเพิ่มเซ็กเม้นต์ที่หลากหลายและตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด
“การเพิ่มจำนวน Admission หรือโอกาสในการชมภาพยนตร์ให้สูงขึ้น จะช่วยเพิ่มทั้ง Occupancy Rate ที่ทำให้ต้นทุนในภาพรวมลดลง รวมทั้งผลักดันให้รายได้เติบโตได้มากขึ้น นอกจากการตอบโจทย์เซ็กเม้นต์ที่ครอบคลุมแล้ว ยังเน้นการผลิตจำนวนภาพยนตร์ไทยให้เพิ่มมากขึ้นด้วย เพื่อให้มีคอนเทนต์ในการดึงคนเข้ามาในโรงภาพยนตร์มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ไว้ที่ราว 10% หรือมียอดขายตั๋วประมาณ 30-40 ล้านใบ ส่วนการเติบโตของกลุ่ม On Demand จะเพิ่มจำนวนคอนเทนต์ให้มากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการเพิ่มภาพยนตร์ฮอลีวู้ดฟอร์มใหญ่ๆ เข้ามาอยู่ในโปรแกรมมากขึ้น โดยตัวเลขในปัจจุบันเติบโตได้ประมาณ 50% ต่อเดือน หลังจากเปิดให้บริการมาได้เกือบครบปีแล้ว”