HomeBrand Move !!A&W เปิดโมเดลสาขาใหม่ เกาะติดรถใต้ดิน รับไลฟ์สไตล์คนกรุงรีบเร่ง ตั้งเป้า Top 5 ธุรกิจอาหาร

A&W เปิดโมเดลสาขาใหม่ เกาะติดรถใต้ดิน รับไลฟ์สไตล์คนกรุงรีบเร่ง ตั้งเป้า Top 5 ธุรกิจอาหาร

แชร์ :

A&W (เอแอนด์ดับบลิว) แบรด์ร้านอาหารจานด่วน หรือ QSR (Quick Service Restaurantสัญชาติอเมริกัน  เป็นแบรนด์มีอายุใกล้จะ 100 ปีแล้ว และเข้ามาในตลาดเมืองไทยกว่า 36 ปี  ปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ในกลุ่ม NPPG หรือ บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  ซึ่งได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวจาก A Great  American Brand International Pte. LTD

รูทเบียร์-วาฟเฟิล เมนูพระเอก-นางเอก

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เมื่อนึกถึงแบรนด์ A&W สินค้ายอดฮิตและเป็นที่รู้จัก คือ รู้ทเบียร์ และวาฟเฟิล ถือเป็นเมนูพระเอก-นางเอก ตัวชูโรงสร้างรายได้แบบเป็นกอบเป็นกำ  ซึ่งสัดส่วนลูกค้า 60-70% ที่เข้ามาใช้บริการจะต้องสั่ง 2 เมนูยอดฮิต ถือเป็น Signature ขาดไม่ได้  และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  สูตรและรสชาติไม่เคยเปลี่ยนไป  ที่สำคัญต้องปรุงสดใหม่ทุกๆ วัน  นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ A&W ยังสามารถสร้างการเติบโต  ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจ QSR ซึ่งรุนแรง แต่ A&W มีจำนวนสาขาไม่มาก คือ  ความหลากหลายของเมนูอาหาร  ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งคาว-หวานรวมกว่า 100 เมนู  มีเมนูซึ่งคิดค้นเฉพาะตลาดเมืองไทย หรือเมนูตามฤดูกาลอีกไตรมาสละ 5 เมนู และยังมีเมนูอาหารเช้า  เป็นจุดได้เปรียบคู่แข่งขัน  เพราะเป็นอาหารเช้าแบบจริงๆ จังๆ ขายกันตั้งแต่ 9.30-11.00 น

เจาะตลาดเด็กสร้างยอดขายเพิ่ม

ปัจจุบันฐานลูกค้าหลักๆ ของแบรนด์ A&W คือ กลุ่ม พนักงานบริษัทสัดส่วน 64% นักศึกษาสัดส่วน 16% และที่เหลือเป็นกลุ่มครอบครัว  ช่องว่างทางการตลาดซึ่งยังไม่ได้เข้าไปเจาะอย่างจริงจัง  คือ กลุ่มเด็กตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมตอนต้น  ซึ่งแบรนด์ A&W อยู่ระหว่างการวางแผน และแนวทางการตลาดจะเข้าไปกวาดต้อนลูกค้ากลุ่มนี้  เตรียมไว้หลายกลยุทธ์  ทั้งเรื่องของเมนูอาหาร  การขยายสาขา หรือแม้กระทั่งการสร้างการรับรู้ในตัวสินค้าพระเอกอย่าง “รูทเบียร์” ว่าเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์​ และมีประโยชน์ต่อร่างกาย  เพราะมีวัตถุดิบมาจากสมุนไพรและรากไม้ 16 ชนิด

ขยาย 100 สาขา + โมเดลใหม่ A&W Express

ภายในสิ้นปี 2020 A&W วางเป้าหมายจะขยายสาขาให้ครบ 100 สาขา จากปัจจุบันมี 37 สาขา เฉพาะสิ้นปีคงขยายได้ครบ  45 สาขา  ซึ่งมีโลเคชันทั้งในคอมมูนิตี้มอลล์  ปั๊มน้ำมัน (ปัจจุบันมีจำนวน 22 สาขา) และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน   สาขาหลักๆ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ​ ต่างจังหวัดมีประมาณ 5%  ล่าสุด ได้ปั้นโมเดลใหม่ในรูปแบบ A&W Express ภายใต้คอนเซ็ปต์  Grab & Go  พื้นที่ 27 ตารางเมตร  เมโทร มอลล์ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน พระราม 9

โมเดลนี้ คิดขึ้นโดยทีมงานคนไทย วางคอนเซ็ปต์ไว้รองรับไลฟ์สไตล์การเร่งรีบของคนเมือง  ซื้อแล้วหิ้วไปกินออฟฟิศหรือบ้าน  หากจะนั่งในร้านก็พอมีที่นั่งบ้างแต่ไม่มาก  เพราะแต่ละสาขาใช้พื้นที่ 10-30 ตารางเมตรเท่านั้น  ใช้งบลงทุนประมาณ 1.5-2.5 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นร้านเต็มรูปแบบจะใช้งบลงทุน 4.5-6 ล้านบาท  A&W Express ปัจจุบันมีแล้ว 6 สาขา  ต้นปีจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน จตุจักร  และภายในปี 2020 จะมีสัดส่วน 30% จากจำนวนสาขาทั้งหมด  100 สาขา

“คอนเซ็ปต์ Grab & Go พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะในประเทศไทย  ซึ่งเป็นโมเดลใช้พื้นที่ไม่มาก  แต่เข้าถึงลูกค้าได้สะดวก การเลือกพื้นที่เปิดจะพิจารณาจากบริเวณที่มีทราฟฟิกหนาแน่น คอนเซ็ปต์​นี้ ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้บริการของเรา ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วที่สถานีสุขุมวิท พระราม 9 และเพชรบุรี  นอกจากนั้นยังมีสาขาที่แฟชั่นไอซ์แลนด์ เดอะสตรีท รัชดา และเทอมินอล 21” คุณธัญลักษณ์ ธิบดี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการทั่วไปของแบรนด์ A&W เล่าถึงคอนเซ็ปต์ร้าน

เตรียมเดลิเวอรี่เสิร์ฟถึงบ้าน

การบริการ ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง คีย์ความสำเร็จของธุรกิจ QSR  ปัจจุบันทุกแบรนด์มีบริการส่งอาหารถึงหน้าบ้าน A&W ก็มีเช่นกัน แต่ยังจำกัดอยู่แค่พื้นที่ 8 สาขาหลักๆ และบริษัทดำเนินการเอง  แต่ตอนนี้กำลังจะร่วมกับพันธมิตร  เปิดให้บริการเดลิเวอรี่อย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที  คงเปิดตัวได้ภายในปีนี้

A&W เองยังไม่ปิดโอกาสตัวเองในการขยายธุรกิจ เพื่อให้ทัดเทียมคู่แข่งในตลาด ถ้าหากว่ามีบริการอะไร ศักยภาพของ A&W พร้อมมีเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง จากปัจจุบันเปิดให้บริการดึกสุดแค่ 21.30 น. การให้บริการแบบไดร์ฟทรู  หรือความสามารถในการขยายสาขาไปได้ในปั๊มทุกเชน  แม้ว่าจะมีคู่แข่งปักหมุดอยู่แล้วก็ตาม แต่ทุกอย่างอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และเตรียมความพร้อม  เพราะบริษัทเพิ่งได้รับสิทธิ์เข้ามาบริหารแบรนด์A&W อย่างจริงจังในช่วง 1-2 ปีมานี้

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ยังคิดเป็นเพียง 20% ของรายได้รวมเท่านั้น ช่วง  9 เดือน มียอดขายเติบโตประมาณ​ 5% ภายใต้กลุ่ม NPPG ยังมีแบรนด์สินค้าอาหารอีก 3 แบรนด์  ได้แก่ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง มิยาบิ (Miyabi) มิสเตอร์โจนส์ออร์แฟเนจ (Mr.Jones’Orphanage) และ ดีนแอนด์เดลูก้า (Dean & Deluca)

“Mission ของธุรกิจอาหาร NPPG คือ เราจะนำเอาเมนูที่มีคุณค่าและหลากหลายออกสู่สาธารณชน และวางเป้าหมายภายใน 5 ปี ให้ธุรกิจอาหารมีความแข็งแกร่ง อนาคตจะต้องติด Top 5 ในกลุ่มธุรกิจอาหารของไทย  เพราะธุรกิจอาหารมีความเซ็กซี่ อย่างไรก็ตาม คนก็ยังกินอาหาร  แต่เราต้องตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าให้ได้ดี  เราจะพัฒนาแบรนด์ที่มีให้แข็งแกร่ง และอนาคตยังจะมีแบรนด์ใหม่มาเพิ่ม ด้วยการซื้อแบรนด์เข้ามาทำตลาด  เรามีความพร้อม เพราะกระแสดงเงินสดหลายร้อยล้านบาท  ตอนนี้มีดีลคุยอยู่” คุณธัญลักษณ์  เล่าถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มอาหาร

 


แชร์ :

You may also like