กวาดสายตาดูพอร์ตสินค้าภายใต้ชายคา “ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง” (UNILEVER) มีสินค้าวางขายอยู่ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ Food & Refreshment, Home Care และ Beauty & Personal Care นับรวมได้กว่า 20 แบรนด์ จากพอร์ตสินค้ากว่า 400 แบรนด์ ซึ่งวางขายอยู่ทั่วโลก โดยสินค้าหลักๆ เป็นของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน จับกลุ่มเป้าหมายเป็นคนทุกเพศทุกวัย หรือตลาด Mass โดยราคาสินค้าส่วนใหญ่อยู่ในระดับหลักสิบ หรือแพงสุดก็ไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น เท่าที่เห็นแพงสุดน่าจะเป็น PONDS Age Miracle INTENSIVE Wrinkle Corrector Cream พอนด์ส ขนาด 50g. กำหนดราคา 890 บาท แต่ขายจริงๆ ก็ไม่ถึง เพราะมีส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษอยู่เรื่อยๆ
แต่ตอนนี้ ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง กำลังจะขายสินค้าหลักพันบาท ซึ่งถูกสุดชิ้นละ 1,300 บาท แพงสุดก็ชิ้นละ 2,300 บาท ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Skin Care แบรนด์ใหม่ “K-BRIGHT” (เค-ไบรท์) ประเดิม 9 รายการนำร่อง นับได้ว่าเป็นการขายของแพงสุดเท่าที่เคยทำตลาดในช่องทางค้าปลีก ยกเว้นกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์อาวียองซ์ ของ “ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค” ที่จำหน่ายในรูปแบบธุรกิจขายตรงหลายชั้น
เปิดแผนรุกเข้าสู่ตลาด Premium ของ Unilever
กลุ่มสินค้าแบรนด์ K-BRIGHT ที่เปิดตัวครั้งนี้ นับเป็นการขยับการทำตลาดจากสินค้า Mass ก้าวสู่ตลาด Premium ครั้งแรกของยูนิลีเวอร์ในเมืองไทย
เหตุผลสำคัญของการเปิดตัวทำตลาดแบรนด์ใหม่ในครั้งนี้ คุณโรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย เล่าว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ของกลุ่มยูนิลีเวอร์ เพราะในต่างประเทศได้เปิดตัวสินค้ากลุ่ม Premium หลายแบรนด์แล้ว ซึ่งเป็นแผนการที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่องมาตลอดในช่วง 4-5 ปีหลัง จากการที่ยูนิลีเวอร์เข้าซื้อกิจการหรือแบรนด์สินค้าระดับ Premium หลายแบรนด์เข้ามาไว้ในพอร์ต อาทิ แบรนด์ Dermalogica ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แบรนด์ Hourglass ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เป็นต้น
การขยับตำแหน่งทางการตลาดไปจับกลุ่มสินค้า Premium ถือเป็น Mission สำคัญของกลุ่มยูนิลีเวอร์ระดับโกลบอลและประเทศไทย จากการมองเห็นโอกาสของฐานลูกค้าปัจจุบันมีรายได้เพิ่มขึ้น และเป็นตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับตลาดเมืองไทยแล้ว ศักยภาพและโอกาสทางการตลาดก็มีเช่นเดียวกัน เพราะสาวไทยเรื่องสวยไม่ได้แพ้ชาติใดในโลก ช้อปปิ้งสินค้าความงามกันเป็นว่าเล่น ยิ่งมีช่องทางช้อปปิ้งผ่านออนไลน์ สาวไทยก็ซื้อสินค้ากันอย่างสนุกสนาน ดูตัวเลขการเติบโตของตลาดความงาม คงยืนยันได้อย่างดี ปีที่ผ่านมามีมูลค่าตลาดสูงถึง 75,000 ล้านบาท สินค้าส่วนใหญ่อาจจะยังเป็นกลุ่ม Mass สัดส่วนถึง 75% และกลุ่ม Premium อีก 25% คิดเป็นมูลค่า 18,000 ล้านบาท ความน่าสนใจคือทั้งภาพรวมตลาดและกลุ่ม Premium เติบโตถึง 7% แม้ว่าตลาดความงามจะมีคู่แข่งมากหน้าหลายตา ไม่เฉพาะหน้าเก่าซึ่งสู้กันสุดฤทธิ์ แต่ก็มีหน้าใหม่พร้อมเข้ามาลงสนาม แย่งเงินในกระเป๋าสาวไทยด้วยมากมาย ตลาดนี้จึงยังน่าสนใจ ในสายตาของ “ยูนิลีเวอร์” เพราะมั่นใจว่า สินค้าที่พัฒนาขึ้นมาก็มีดีไม่แพ้ใคร และยังมีหมัดเด็ดทางการตลาดซึ่งเตรียมไว้
4 กลยุทธ์ตลาดและสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับการสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้แบรนด์ K-BRIGHT ประกอบด้วย
1.จับมือ “SEPHORA” จัดจำหน่ายสินค้าใน 7 สาขา พร้อมกับการทำตลาดร่วมกัน นับเป็นครั้งแรกที่ยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย จัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางจำหน่ายในระดับ Global Retailer ด้าน Skin Care & Cosmetic
2.การใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ One on One, Targeted Marketing และ Digital Marketing กับกลุ่มเป้าหมายที่มีไลฟ์สไตล์ สนใจและดูแลตัวเอง ซื้อสินค้าด้วยคุณภาพ มากกว่าราคา ค้นหาข้อมูลสินค้าก่อนการตัดสินใจซื้อ การโฆษณาและการตลาดจึงจะใช้สื่อ Online เป็นหลัก ไม่ใช้สื่อ Mass และ TV เพราะจากสถิติพบว่า 70% ของผู้บริโภค เลือกจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสกินแคร์ ผ่านอินเตอร์เน็ตก่อน โดยเฉพาะการค้นหาผ่าน Google
3.กลยุทธ์ Partnership ในการร่วมมือกันทำการตลาด อาทิ การเป็นพันธมิตรกับบัตรเครดิต SCB เพื่อมอบส่วนลด 15% และได้รับคะแนนสะสมสูงสุด 5 เท่า
4.สร้างการรับรู้สินค้าผ่าน Pop-up Store ที่จัดขึ้นบริเวณทางเชื่อมของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพร้อมพงษ์ จนถึงวันที่ 6 กันยายนนี้ เนื่องจากเป็นสถานที่ซึ่งกลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อสูง และบรรดากลุ่ม KOL และ Influencer มักจะมาหาแรงบันดาลใจ จึงได้ออกแบบสตูดิโอขนาดเล็ก ไว้ให้ได้เข้ามาหาแรงบัลดาลใจพร้อมกับถ่ายภาพ เพื่อลงใน IG
รู้จักแบรนด์ K-BRIGHT
ยูนิลีเวอร์ ทุ่มเงิน 2.27 พันล้านยูโร ซื้อ K-BRIGHT มาในเดือนสิงหาคม 2017 แบรนด์ K-BRIGHT เป็นเครื่องสำอางสัญชาติเกาหลี ระดับ Prestige ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิดความงามของผิวสวยกระจ่างใส แบบสาวเอเชีย ซึ่งโปรดักท์ล็อตแรกที่นำเสนอก็จะสื่อสารไปในแนวทางนี้
การนำสินค้าที่ได้รับการพัฒนาและผลิตจากประเทศเกาหลี เข้ามาทำตลาดครั้งนี้ “ยูนิลีเวอร์” มั่นใจในเรื่องคุณภาพ จากวัตถุดิบมาผลิตสินค้า และเทรนด์สินค้าเกาหลี(Korean Beauty) และญี่ปุ่น ว่ายังแรงดีไม่มีตก ที่สำคัญโอกาสทางการตลาด การเติบโตของคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบและหันมาดูแลตัวเองให้ดูดี จะเป็นปัจจัยผลักดันให้แบรนด์ K-BRIGHT ก้าวสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ตัวเลขและยอดขายยังไม่ขอพูดถึง งานนี้ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า ยูนิลีเวอร์ จะยกระดับตัวเองจากตลาด Mass สู่ตลาด Premium ได้แค่ไหน และคงต้องดูกันต่อไปจะมีแบรนด์อะไรมาเสริมพอร์ตของกลุ่ม Premium อีกบ้าง เพราะหากย้อนไปดูในช่วงที่ผ่านมา ยูนิลีเวอร์มีการซื้อกิจการและแบรนด์สินค้า Premium ในตลาดโลกจำนวนมาก นับนิ้วมือแล้วมีไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์
งานนี้ ถือว่าเป็นการประเดิมตลาดพรีเมี่ยมอย่างจริงจังของยูนิลีเวอร์ และดูเหมือนว่าจะเป็นอีกตลาดที่ยักษ์ใหญ่รายนี้เอาจริงเอาจังแน่ๆ … #ตลาดล่าง จ๋า ยูนิลีเวอร์ ไม่ง้อเธอคนเดียวแล้วนะจ๊ะ