การ “ลาออก” ของพนักงาน ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกือบทุกองค์กรต้องเจอปัญหานี้มาตลอด ที่ผ่านมาหลายองค์กรจึงพยายามเสาะหาวิธีมัดใจคนทำงานให้อยู่กับองค์กรไปนานๆ เพราะการสรรหาคนเข้ามาทำงาน มีต้นทุนไม่น้อย ทว่าหลายปีมานี้ อัตราการลาออกของพนักงานยังคงไม่ลดลง ในทางกลับกัน “เด็กยุคใหม่” กลับลาออกง่าย และย้ายงานกันบ่อยขึ้น โดยเฉพาะบางสายงานที่ตลาดต้องการสูง
มีข้อมูลจาก NordVPN ระบุว่า ในช่วง Covid-19 ระบาด และทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวมาทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ส่งผลให้เรามีชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้น 2.5 ชั่วโมงต่อวัน และหลายคนไม่สามารถแบ่งแยกชีวิตการทำงานกับชีวิตหลังเลิกงานได้จนส่งผลถึงสุขภาพจิตที่เกิดภาวะเบิร์นเอาท์ในหมู่พนักงานจำนวนมาก
การ์ทเนอร์เผยผลสำรวจล่าสุด พบพนักงาน “สายไอที” มีแนวโน้มลาออกจากงานที่ทำอยู่มากกว่าพนักงานสายอื่น ๆ หากบริษัทมีการปรับนโยบายการทำงาน โดยเฉพาะการกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ
แม้ว่าครีเอทีฟจะเคยชินกับการทำงานร่วมกันจากระยะไกลมาพอสมควร แต่จากสถานการณ์ของโลกที่บังคับให้เราต้องปรับตัวมากมายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทำให้สมดุลการใช้ชีวิตของพวกเขาลดลง แรงจูงใจและแรงบันดาลใจอาจหดหาย และกลายมาเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘The Great Resignation’
ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์อาจไม่ว้าวอีกต่อไปแล้ว เพราะ “Slice” ฟินเทคสตาร์ทอัพในอินเดียกำลังเปิดรับสมัครงานด้วยแนวคิดที่ว้าวกว่า นั่นคือทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ และจ่ายเงินเดือนให้ 80% ของค่าเฉลี่ยในตลาด โดยมองว่า แนวคิดดังกล่าวออกจะ Win-Win ทั้งพนักงานและนายจ้าง โดยพนักงานก็จะได้มีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น หลังจาก Work From Home กันมานานนับปี ส่วนนายจ้างก็จะได้มีคนเก่ง ๆ เข้ามาทำงานตามเป้าที่วางไว้
ผลการศึกษาจากอะโดบี (Adobe) เผย เทรนด์ Work From Home ทำให้ “เวลาส่วนตัวกลายเป็นเวลาทำงาน” พร้อมเตือนบริษัทเตรียมรับมือการลาออกครั้งใหญ่ของคน Gen Z ที่ต้องการออกแบบตารางเวลาชีวิตของตนเองอย่างอิสระมากกว่าเดิม
