ตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยระอุขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อ “Flying Tiger Copenhagen” (ฟลายอิง ไทเกอร์ โคเปนเฮเกน) แบรนด์ค้าปลีกสินค้าวาไรตี้และไลฟ์สไตล์ระดับโลกจากเดนมาร์ก ปักหมุดสาขาแรก ณ ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ ภายใต้การนำเข้าของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของไทยอย่าง บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) นับเป็นการเติมสีสันและความแปลกใหม่ให้กับตลาด พร้อมตอกย้ำศักยภาพของอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน
จากแผงขายร่ม สู่แบรนด์ระดับโลก การเดินทางของ Flying Tiger Copenhagen
เรื่องราวของ Flying Tiger Copenhagen เริ่มต้นขึ้นในปี 1995 ที่เมืองโคเปนเฮเกน โดยคู่สามี-ภรรยา Lennart Lajboschitz และ Suz Lajboschitz ผู้ที่เคยขายร่ม แว่นกันแดด และถุงเท้าในตลาดนัดมาก่อน แรงบันดาลใจในการสร้างร้านค้าจิปาถะแห่งนี้คือการมอบประสบการณ์ดีไซน์ที่ดีในราคาที่เข้าถึงได้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ง่ายๆ “สินค้าทุกชิ้น ราคา 10 โครนเดนมาร์ก” (ประมาณ 50 บาท) ชื่อเดิมของแบรนด์คือ “Tiger” ซึ่งมาจากเสียง “tee’-yuh” ที่แปลว่า 10 โครนนั่นเอง
Flying Tiger Copenhagen สร้างชื่อเสียงในฐานะร้านค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดหลากหลาย ทั้งของใช้ทั่วไป เครื่องเขียน ของเล่น และของตกแต่งสำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ สื่อสารผ่านไอคอนตัว “t” ที่มีคาแรกเตอร์ขี้เล่นและเป็นกันเอง และในปี 2001 แบรนด์เริ่มขยายสาขาไปต่างประเทศ และเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีมากกว่า 1,000 สาขา ใน 41 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
การนำ Flying Tiger Copenhagen เข้ามาในประเทศไทย ถือเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านมากว่า 50 ปี ปัจจุบันมี 35 สาขา และครอบคลุมแบรนด์ตั้งแต่ระดับแมสไปจนถึงลักชัวรี่ รวมถึงเป็นเจ้าของคอมมูนิตี้มอลล์อย่าง The Walk และ Little Walk
ในปี 2567 อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ มีรายได้สูงถึง 9,890.2 ล้านบาท เติบโต 5% จากปีก่อนหน้า และทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 มีรายได้ 4,094.7 ล้านบาท แม้จะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ แต่บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการกระจายธุรกิจใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยมองว่าตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์เป็นตลาดที่น่าสนใจ มีมูลค่ารวม 3.3 หมื่นล้านบาท และเติบโตถึง 7% ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่สวนทางกับตลาดอื่นๆ แม้จะมีหลายแบรนด์ แต่ก็ยังมีช่องว่างและสินค้าที่หลากหลายที่ยังไม่มีในตลาด
ทำไมต้อง Flying Tiger Copenhagen?
การนำเข้าครั้งนี้ เนื่องจาก “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เล็งเห็นถึงศักยภาพของ Flying Tiger Copenhagen ด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่
- แบรนด์ระดับโลก: มีสาขากว่า 1,000 แห่งใน 41 ประเทศทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับ
- สินค้ามีเอกลักษณ์: สินค้าทั้งหมดได้รับการออกแบบและดีไซน์เอง ทำให้มีความแปลกใหม่และไม่ซ้ำใคร และจะมีการนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาในร้านทุกเดือน เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้า
- ความหลากหลายและคุ้มค่า: มีสินค้าให้เลือกกว่า 1,700 รายการ ใน 14 กลุ่มสินค้า ตั้งแต่แกดเจ็ต ของใช้ในบ้าน เครื่องเขียน ของเล่น ไปจนถึงของตกแต่งปาร์ตี้ ครอบคลุมลูกค้าทุกเพศทุกวัย ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เริ่มต้นเพียงหลักสิบไปจนถึงหลักร้อยบาท
- ตอบโจทย์เศรษฐกิจปัจจุบัน: ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี สินค้าที่ไม่มีแบรนด์และราคาย่อมเยาได้รับความนิยม ผู้คนลดการกินข้าวนอกบ้าน แต่ก็ยังอยากได้ประสบการณ์ “ช้อปปิ้งบำบัด” Flying Tiger Copenhagen จึงตอบโจทย์ด้วยสินค้าคุณภาพดีในราคาที่ถูก ทำให้การช้อปปิ้งยังคงเป็นความสุขที่จับต้องได้
- ยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อม: Flying Tiger Copenhagen ให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” ในการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น การใช้ส่วนประกอบที่แยกจากกันได้ง่าย ส่งเสริมวัสดุรีไซเคิล และใช้ไม้/กระดาษที่ได้รับการรับรอง FSC โดยมีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกลง 50% และลดการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ลง 50% ภายในปี 2025
วางเป้ารายได้ 800 ล้านบาทในปี 2570 พร้อมสยายปีก 30 สาขา
Flying Tiger Copenhagen สาขาแรกที่ เอ็มสเฟียร์ มีพื้นที่ 160 ตารางเมตร ตั้งเป้าดึงดูดลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักเรียน และชาวต่างชาติที่คุ้นเคยกับแบรนด์ โดยในปีนี้มีแผนเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา รวมเป็น 6 สาขา โดยแห่งที่ 2 ได้เปิดไปแล้วที่อินเด็กซ์พัทยาในรูปแบบ shop-in-shop ตั้งแต่เดือนตุลาคม และอีก 4 สาขาจะเปิดที่แพลทินัม แฟชั่น ไอส์แลนด์ เดอะมอลล์ บางกะปิ และซีคอนสแควร์
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ตั้งเป้ารายได้รวมจาก Flying Tiger Copenhagen ไว้ที่ 800 ล้านบาท ภายในปี 2570 และใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขาไปยัง 30 สาขาในอนาคต แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพของแบรนด์และการเติบโตของตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย
การเข้ามาของ Flying Tiger Copenhagen จึงไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดมิติใหม่ของประสบการณ์การช้อปปิ้ง ที่เน้นความสนุก สร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจ ผ่านการออกแบบสไตล์เดนิช และวัฒนธรรมฮุกกะ ที่ต้องการสร้างความรู้สึกดีๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้ทุกวันเป็น “Everyday Magic” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้








