HomeBrand Move !!Workslope ภัยเงียบคนทำงานยุค AI “ได้งานที่ดูดี แต่ไร้ความคิดสร้างสรรค์-ต่อยอดได้ยาก”

Workslope ภัยเงียบคนทำงานยุค AI “ได้งานที่ดูดี แต่ไร้ความคิดสร้างสรรค์-ต่อยอดได้ยาก”

แชร์ :

Workslope อาจกำลังเป็นศัพท์ใหม่คนทำงาน โดยเฉพาะคนที่ใช้ AI ช่วยงานเขียน ส่งอีเมล หรือสรุปการประชุม เพราะมีการค้นพบว่า การใช้ AI ในภารกิจเหล่านี้ทำให้งานที่ออกมานั้นไม่ “ว้าว” อย่างที่ควรจะเป็น

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

สำหรับผู้ที่กำหนดนิยามคำว่า “Workslop” ก็คือทีมวิจัย BetterUp Labs ของมหาวิทยาลัย Harvard ร่วมกับ Stanford Social Media Lab โดยระบุว่า Workslope คือการใช้ AI สร้างสรรค์คอนเทนต์ แต่ได้ผลงานที่ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร (ตัวงานมักมีภาพลักษณ์ของงานที่ดีครบถ้วน แต่หากพิจารณาอย่างแท้จริงจะพบว่า มันขาดเนื้อหาสาระสำคัญที่จะช่วยพัฒนางานในระดับต่อไปได้นั่นเอง)

ทั้งนี้ ทีมวิจัยระบุด้วยว่า ปัจจุบัน บนโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยโพสต์คุณภาพต่ำที่สร้างโดย AI มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทีมวิจัยระบุว่า งานลักษณะนี้ นอกจากทำให้คนทำงานเสียความน่าเชื่อถือ (หากตัดสินใจส่งออกไป) แล้ว ในกรณีที่เขามานั่งแก้ใหม่ให้มันมีคุณภาพมากขึ้น ก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายด้านการ “เสียเวลา” ให้กับองค์กรอีกด้วย

ค่าเฉลี่ยแก้งาน AI อยู่ที่ 1 ชั่วโมง 56 นาที

ทีมวิจัยยังได้ทำการศึกษาในชาวอเมริกัน 1,150 คนเกี่ยวกับประสบการณ์ Workslope ที่ได้รับจากการใช้งาน AI และพบว่ามีถึง 40% ที่บอกว่า งานของตัวเองช้าลง เพราะต้องใช้เวลาตรวจงานจาก AI มากขึ้น โดยค่าเฉลี่ยของการจัดการกับงานที่ AI ทำมาส่งนั้นอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 56 นาทีเลยทีเดียว

นักวิจัยได้มีการประเมินว่า Workslope สร้างค่าใช้จ่ายให้กับการทำงานที่  186 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 5,975 บาท ซึ่งหากเป็นองค์กรใหญ่ อาจเทียบเท่าค่าใช้จ่าย 9 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยอุตสาหกรรมที่มักเกิดงานแบบ Workslope นั้นพบว่าเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, เฮลท์แคร์ และงานด้านที่ปรึกษา เป็นหลัก

ส่วนในด้านความรู้สึก ผู้ตอบแบบสอบถามราวครึ่งหนึ่งยอมรับว่า คนที่ส่งงานแบบ Workslope มาให้นั้น ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ไร้ความสามารถ และไม่น่าเชื่อถือ ส่วนในมุมของผู้ส่งงาน มีถึง 18% ที่ยอมรับว่า งานของพวกเขาที่สร้างด้วย AI นั้น คุณภาพไม่ดีนัก หรืออาจกล่าวได้ว่า กรณีที่ร้ายที่สุดของการปล่อยงานแบบ Workslop ออกไปก็คือ การผลักภาระงานไปยังผู้รับ ทำให้ผู้รับต้องตีความ แก้ไข หรือทำซ้ำงานนั้น ๆ ใหม่นั่นเอง

นั่นจึงอาจเดินมาถึงบทสรุปที่ว่า บางทีแล้ว AI อาจไม่ใช่ตัวช่วยในการสร้างประสิทธิภาพให้กับงานอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น  เว้นแต่เราอาจต้องทำงานนี้ซ้ำ ๆ กันมากกว่า 50 ชิ้นต่อวันขึ้นไป ซึ่งนั่นอาจเป็นวัตถุประสงค์ของการใช้ AI ในแบบที่มันควรจะเป็น

Source

Source


แชร์ :

You may also like