ข้อมูลจาก สสส. พบว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะ PM2.5 โดยกรุงเทพฯ ติดอันดับ 8 เมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคทางเดินหายใจที่คร่าชีวิตผู้คนระดับโลกกว่า 7 ล้านรายต่อปี
ขณะเดียวกัน “บุหรี่ไฟฟ้า” ก็แพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนไทย แม้จะมีงานวิจัยชี้ถึงอันตรายจากนิโคตินและสารก่อมะเร็ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่พบว่าการสูบบุหรี่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 8 ล้านรายทุกปี
ผศ.นพ.วิรัช ตั้งสุจริตวิจิตร แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต โรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่าปัจจุบัน โรคระบบทางเดินหายใจ กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบระยะยาว ทั้งจากเชื้อไวรัสอย่างโควิด-19 ที่ยังพบผู้ป่วยใหม่กว่า 41,000 รายในปีนี้ ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดรุนแรงในเด็กและผู้สูงอายุกว่า 322,000 ราย และ RSV ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นทุกปียังคงเป็นภัยเงียบ ที่แทรกซึมเข้าสู่ถุงลมปอดและกระแสเลือดได้โดยตรง ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเชื่อมโยงกับโรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ และมะเร็งปอด ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง ตามข้อมูล WHO มลพิษทางอากาศคร่าชีวิตผู้คนกว่า 7 ล้านรายต่อปีทั่วโลก ทำให้การมีระบบคัดกรอง เฝ้าระวัง เพื่อสร้างการรับรู้อาการเริ่มต้น และรีบเข้ารับการตรวจรักษา
ล่าสุด รพ.วิมุต ได้เปิด “ศูนย์สุขภาพปอด” เพื่อรองรับโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อน โดยมีแนวทางการดูแลครอบคลุมตั้งแต่การคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงด้วยการตรวจสมรรถภาพปอด (Lung Function Test), การตรวจหลอดลมด้วยกล้อง (Bronchoscopy) ไปจนถึงการวินิจฉัยและรักษาโรคซับซ้อนอย่างมะเร็งปอดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี EBUS (Endobronchial Ultrasound) มาใช้เพื่อช่วยการวินิจฉัยโรค ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ตรวจชิ้นเนื้อปอดและจากต่อมน้ำเหลืองในช่องอกได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยเจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องสำหรับการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ศูนย์สุขภาพปอดวิมุตดำเนินการภายใต้แนวคิด CHEST (Collaborated–Holistic–Excellence–Systematic–Treatments) ที่มุ่งเน้นการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็ว ฟื้นฟูไว และครอบคลุมทุกมิติสุขภาพปอด ผ่านการร่วมมือของแพทย์ที่ทำงานแบบสหสาขาวิชาเพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะรายในผู้ป่วยที่มีภาวะเรื้อรังหรือซับซ้อนและเชื่อมโยงการรักษาแบบไร้รอยต่อ ตลอดจนการใช้อุปกรณ์มาตรฐานสูงและการประเมินผู้ป่วยอย่างเป็นระบบ การรักษาที่ครอบคลุมทั้งทางการแพทย์และการฟื้นฟู ด้วยอัตราค่าบริการที่จับต้องได้
นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย
ชูกลยุทธ์ B.E.S.T ก้าวสู่รพ.ระดับท็อปกลุ่มโรคเฉพาะทางซับซ้อน
นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า รพ.วิมุต เปิดดำเนินการครบรอบ 4 ปี มุ่งสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันโรค การรักษา ฟื้นฟูสุขภาพ ไปจนถึงการส่งเสริมคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ภายใต้หลัก 3 ประการคือ 1. ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ที่ทำงานร่วมกันแบบสหสาขาวิชา 2. การดูแลครอบคลุมทุกมิติตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยที่ตรงจุดไปจนถึงการรักษาที่ปลอดภัย และ 3. ความรวดเร็วในทุกกระบวนการ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สะดวก
ก้าวสู่ปีที่ 5 ภายใต้กลยุทธ์ B.E.S.T ดังนี้ B – Beyond Technology เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์จริง E- Expertise with Heart ทีมแพทย์เฉพาะทางที่เข้าใจผู้ป่วย S-Smart Service Experience บริการอัจฉริยะที่เชื่อมต่อไร้รอยต่อ และ T- Trust & Transparency ความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ เพื่อก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่พร้อมนำพาไทยสู่ยุค Smart Healthcare
พันธกิจสำคัญของ รพ. วิมุต คือการตอบสนองต่อเทรนด์สุขภาพโลก โดยนำแนวโน้มสุขภาพโลกและในเมืองไทยมาพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อตอบโจทย์โรคเฉพาะทางที่ซับซ้อน โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างเบาหวาน หัวใจ และมะเร็ง ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 400,000 รายต่อปี ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจถึง 1.6 ล้านล้านบาท หรือ 9.7% ของ GDP ประเทศ
รพ. วิมุตจึงพัฒนาศูนย์ดูแล NCDs แบบครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหารและตับ สมอง เบาหวาน กระดูก และการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของสังคมไทยในปัจจุบัน และล่าสุดเปิดศูนย์สุขภาพปอดวิมุต
จากข้อมูลของ Report Linker คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมสุขภาพไทยจะเติบโต 5.3% ต่อปี จากมูลค่า 679,600 ล้านบาทในปี 2568 สู่มูลค่ากว่า 880,500 ล้านบาทภายในปี 2573 รพ.วิมุต มั่นใจว่ากลยุทธ์การดำเนินงานด้วยการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อตอบโจทย์โรคเฉพาะทางที่ซับซ้อน จะทำให้ก้าวขึ้นมาสู่ผู้นำระดับท็อปในการดูแลสุขภาพกลุ่มนี้ ได้ภายใน 3-5 ปี
โดยผลการดำเนินงาน รพ.วิมุต ปี 2567 มีรายได้รวม 1,203 ล้านบาท เติบโต 35% และปี 2568 เป้าหมายการเติบโตต่ออีก 40% ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการคนไทย 90% และต่างชาติ 10% กลุ่มหลัก จีน CLMV
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE