HomeBrand Move !!3 กูรู วิเคราะห์ไทย “ยุคหมดบุญเก่า” ถึงเวลาดัน “ระบบ-คนเก่ง-งานวิจัย” กระตุก GDP

3 กูรู วิเคราะห์ไทย “ยุคหมดบุญเก่า” ถึงเวลาดัน “ระบบ-คนเก่ง-งานวิจัย” กระตุก GDP

แชร์ :

ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันนี้นักลงทุน – ภาคธุรกิจจากต่างประเทศ อาจไม่ได้มองประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายสำนัก เช่น ธนาคารโลกที่คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2025 จะต่ำเพียง 1.8% ขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 4.1% อินโดนีเซีย 4.3% ฟิลิปปินส์ 5% และเวียดนาม 6.1%

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ประเทศไทยกำลังพลาดในจุดใด บางทีวิทยากรจากเวที Dinner Talk “กระตุก GDP ไทยด้วยกองทุน ววน.” อาจมีคำตอบ โดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หนึ่งในวิทยากรได้กล่าวถึง ภาวะบุญเก่าหมดของประเทศไทยเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า

“บุญของเรากำลังจะหมด อุตสาหกรรมที่เราเคยเก่งกำลังเริ่มตกยุค ทุกอย่างที่ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้เรายืนได้ ณ จุดนี้ กำลังจะหายไป อีกไม่นานแม้กระทั่งฟิลิปปินส์ก็จะแซงเราไป”

“โจทย์ของเราคือ เมื่อโลกเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไทยเราปรับตัวช้าเหลือเกิน แถมการเสื่อมถอยของเราก็ยังรวดเร็วมาก”

“แล้วสิ่งที่เราต้องทำคืออะไร ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดอันที่ 1 ก็คือว่า เราต้องลอกคราบในสิ่งที่เรามี และสอง เราต้องสร้างบุญใหม่ให้ได้ เพราะโรงงานที่เรามีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ณ วันนี้มันเริ่มตกยุคแล้ว ยุคการผลิตแบบเดิม ๆ มันจบแล้วครับ”

สร้างแต้มบุญใหม่ด้วย “การลงทุน-เทคโนโลยี”

ความจำเป็นอีกข้อในมุมของ ดร.กอบศักดิ์ ก็คือการสร้างแต้มบุญใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่การมีรายได้ระดับสูงให้ได้  แต่แต้มบุญรอบใหม่นี้ นอกจากจะต้องใช้ความสามารถและความพยายามของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ประชาชนคนทำงานก็ต้องพยายามด้วยเช่นกัน

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

“ภูมิภาคอาเซียนในวันนี้ กำลังเจอกับคลื่นของการลงทุนครั้งใหญ่จากทั่วโลก ณ ตอนนี้ ประเทศในอาเซียนทั้งหมดรวมกันได้เงินลงทุนประมาณ 17% ของเงินลงทุนโลก ซึ่งเงินเหล่านั้นกำลังเปิดโอกาสรอบใหม่ในการสร้าง New Engine ที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้ เมื่อโรงงานเหล่านี้สร้างเสร็จ เขาจะเปลี่ยนอาเซียนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และจะเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วย มันเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเราไม่คว้าโอกาสรอบนี้ และไม่เปลี่ยนตัวเอง เราจะลำบากอย่างยิ่ง เพราะว่าธุรกิจที่ไปลงทุนจะอยู่กับประเทศนั้น ๆ เป็น 20 ปี แล้วสุดท้ายก็จะนำไปสู่การจ้างงาน เปลี่ยนการพัฒนาคน”

“สิ่งที่รัฐบาลควรทำ จึงมีอยู่ประมาณ 4 – 5 เรื่อง เช่น เรื่องของการเปลี่ยนกฎหมาย โดยเฉพาะตัว BOI เราต้องปลดล็อก และทำให้เกิดการร่วมมือของรัฐ เอกชน และสังคมไทย พอเงินต่างชาติเข้ามา เป็นหัวขบวนรอบที่ 1 หลังจากนั้นก็ต้องหมุนด้วยทุนของในประเทศ ผ่านสถาบันการเงิน แบงก์พาณิชย์ แล้วรัฐบาลก็สามารถลงทุนเรื่องของการสร้างคน เราควรจะเปิดให้พวก Talent ต่าง ๆ เข้ามาประเทศไทยบ้าง เพื่อสร้างเลเยอร์ใหม่ และสุดท้ายผมอยากจะเรียนว่า เราต้องสร้าง Talent ของเราเอง นี่คือหัวใจ เรายืม Talent จากต่างชาติได้ แต่สุดท้ายเนี่ยเราต้องสร้างคนที่เก่งเทคโนโลยีของเราเอง และทั้งหมดมันจะกลายเป็น แรงขับเคลื่อนสำคัญ เป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง GDP ของประเทศไทย”

“วันนี้เรามาคุยเรื่องกระตุก GDP ใช่ไหมครับ ผมว่าต้องกระชากเลยครับ เหมือนเครื่องบินน่ะครับ มันต้อง Take off ไปอีกระดับหนึ่งให้ได้ก่อน พอมันติดลมเนี่ย มันก็จะหมุนไปเอง แต่ผมคิดว่าทั้งหมดเนี่ย นี่คือโอกาสของประเทศไทย ไม่เคยมี Window เปิดลักษณะนี้มา 20 ปีแล้ว เราต้องไม่พลาด แล้วถ้าเกิดเราทำตรงนี้ได้เนี่ย ทุกอย่างมันก็จะหมุน แล้วประเทศไทยก็จะเติบโตได้อีกครั้งหนึ่งแน่นอน”

“งานวิจัย” ต้องใช้ได้จริง

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กสว. และประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

อีกหนึ่งภาคส่วนที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของ GDP ไทยได้ไม่แพ้กันก็คือ “งานวิจัย” โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กสว. และประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า

“ในวันที่กติกาโลกเปลี่ยนไป ประเทศที่พึ่งพาการส่งออก และการลงทุนสูงอย่างประเทศไทย ก็ไม่สามารถทำธุรกิจแบบเดิมได้เช่นกัน อีกทั้งเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศก็จะลดลง เงินวิจัยก็จะหดหายไป และหลายองค์กรในประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเรียบร้อยแล้ว นี่คือโลกใหม่ที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นวิธีการทำมาหากินแบบเดิม โดยใช้ค่าแรงที่ต่ำ พัฒนาอุตสาหกรรมแต่ไม่พัฒนาเทคโนโลยี จะทำให้เราเดินต่อไปไม่ได้”

ทั้งนี้ ดร.สมเกียรติได้ยกตัวอย่างงานวิจัยจากต่างประเทศที่แม้จะไม่ได้เป็นผลงานของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ติดอันดับโลก แต่กลับสามารถใช้งานได้จริง และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศเจ้าของงานวิจัย รวมถึงประเทศอื่น ๆ ได้มากมาย ดังนี้

  • – มหาวิทยาลัยจูเทนโด จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการศึกษายีนนักกีฬาเป็นเวลากว่า 50 ปีและหาวิธีฝึกซ้อมให้เหมาะกับนักกีฬาแต่ละคน ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวสามารถช่วยให้ทีมฟุตบอลอิวาคิ เอฟซี เลื่อนชั้นได้สำเร็จมาแล้ว
  • – ศูนย์วิทยาศาสตร์ชา มหาวิทยาลัยชิสึโอกะ ศึกษาวิทยาศาสตร์มัทฉะ และพบว่า สามารถช่วยผ่อนคลาย ป้องกันหวัด ชะลอสมองเสื่อม และนำมาเป็นจุดขายให้กับชาญี่ปุ่นในการบุกตลาดโลก
  • – มหาวิทยาลัยคากาวะ จังหวัดคากาวะ พัฒนา แรร์ชูการ์ ที่พบวิธีผลิตไซโคสเมื่อ 30 ปีก่อน และกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ของจังหวัดในเวลาต่อมา โดยข้อดีคือไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน และโรคเบาหวาน
  • – มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โอคายามา พัฒนาสารเคมีเปลี่ยนน้ำจืดเป็นน้ำเค็มสามารถช่วยคนในมองโกเลียและกัมพูชาเลี้ยงสัตว์ทะเลในน้ำจืดได้

ระบบที่ดี ช่วยชาติได้มากกว่าการหวังพึ่งโชค

นอกจากการมีเงินลงทุน และการมีงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้จริงแล้ว การมีระบบที่ดีก็เป็นอีกหนึ่งรากฐานที่ประเทศไทยต้องการในการสร้างการเติบโตของ GDP เช่นกัน เพราะเมื่อระบบมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย การศึกษา หรือดิจิทัล จะช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งคุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานกรรมการอำนวยการ สกสว. และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความสำคัญของการมีระบบที่ดีว่า

“ประเทศไทยอาจจะต้องทบทวนจากคำถามพื้นฐาน นั่นคือ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ประเทศไทยรอดจากวิกฤตหลาย ๆ ครั้ง เพราะเรามีระบบที่เข้มแข็ง หรือเราโชคดี เช่น ช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยเราได้แรงหนุนมาจากมหาอำนาจ มีเม็ดเงินลงทุนมากมาย หรือยุคปี 1980 เราได้รับอานิสงส์จากการลงทุนของญี่ปุ่น ทำให้อุตสาหกรรมไทยเติบโต หลังต้มยำกุ้ง เราได้อานิสงส์จากแรงงานที่มีต้นทุนที่ไม่สูงมาก และโลกเปิดการค้าเสรี แต่มาถึงวันนี้ ผมอยากจะถามว่าโอกาสเหล่านั้นมันยังคงมีอยู่หรือเปล่า และระบบที่เรามีสามารถต่อยอดความยั่งยืนได้จริงหรือไม่”

คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานกรรมการอำนวยการ สกสว. และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

“ถ้าเราต้องการให้ประเทศไทยขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เราต้องเริ่มจากคำถามว่า ระบบของเราพร้อมแล้วหรือยัง ถ้าระบบไม่เปลี่ยนต่อให้เราพัฒนาเทคโนโลยีไปแค่ไหน เศรษฐกิจก็ยังอยู่ที่เดิม”

“โชคช่วยอาจจะช่วยได้แค่บางครั้ง แต่ระบบที่ดี ช่วย (ประเทศ) ได้ทุกครั้ง” คุณกฤษณ์กล่าว

คุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

ด้านคุณศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวปิดท้ายถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยยังมีโอกาสในการสร้างเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยใช้ ววน. เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาการของประเทศ เพื่อให้ GDP ดีขึ้นได้ โดยในปี 2568 กองทุน ววน.ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 19,251 ล้านบาท คิดเป็น 1.14% และหวังว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป

 


แชร์ :

You may also like