HomeBrand Move !!“Garmin” บริษัทที่บอกว่าตนเองเป็น GPS company แต่ขายนาฬิกาอัจฉริยะราคา 57,990 บาท

“Garmin” บริษัทที่บอกว่าตนเองเป็น GPS company แต่ขายนาฬิกาอัจฉริยะราคา 57,990 บาท

แชร์ :


เอ่ยชื่อการ์มิน (Garmin) หลายคนในแวดวงนักออกกำลังกายอาจรู้สึกคุ้นเคยในฐานะแบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) ชื่อดัง แต่ในความเป็นจริง หากเอ่ยถามคนของการ์มินเอง จะพบว่าพวกเขานิยามตนเองเป็น GPS Company หรือบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ GPS (ย่อมาจาก Global Positioning System) ต่างหาก ซึ่งคำตอบดังกล่าวทำให้ยิ่งน่าสนใจว่า การเป็น GPS Company จะต้องพัฒนาตนเองไปในทิศทางใดจึงจะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุดในยุคที่เทคโนโลยีอย่าง Generative AI กำลังคืบคลานเข้ามาในทุกธุรกิจ

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

คำตอบสำหรับเรื่องนี้จาก Garmin อาจไม่ใช่เรื่องของกระแสเงินสด เพราะ Garmin ทำผลงานในไตรมาสแรกของปี 2024 ไว้ค่อนข้างดี กับรายได้ที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1,380 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 49,680 ล้านบาท นอกจากนี้ Garmin ยังเผยด้วยว่า รายได้จากประเทศไทยก็มีการเติบโตกว่า 25% ด้วยเช่นกัน โดยที่มาของรายได้ดังกล่าวมาจาก 5 ธุรกิจของ Garmin ที่ประกอบด้วย

  • Fitness: รายได้ 342 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 40% โดยมาจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์สวมใส่สำหรับการออกกำลังกาย และมีกำไรขั้นต้น 57% และกำไรจากการดำเนินงาน 20% ส่วนรายได้จากการดำเนินงาน 68 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • Outdoor: รายได้ 366 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11% โดยเฉพาะจากผลิตภัณฑ์สวมใส่ กำไรขั้นต้น 66% และกำไรจากการดำเนินงาน 29% รายได้จากการดำเนินงาน 107 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • Aviation: รายได้ 216 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2% จากผลิตภัณฑ์ OEM โดยมีกำไรขั้นต้น 75% และกำไรจากการดำเนินงาน 24% ส่วนรายได้จากการดำเนินงาน 52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • Marine: รายได้ 326 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 17% จากการซื้อกิจการ JL Audio® และมีกำไรขั้นต้น 55% และกำไรจากการดำเนินงาน 27% รายได้จากการดำเนินงาน 88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • Auto OEM: รายได้ 128 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 58% จากการส่งมอบ domain controllers ให้กับ BMW กำไรขั้นต้น 18% แต่มีการขาดทุนจากการดำเนินงาน 16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

จากผลการดำเนินงาน จะพบว่าเติบโตสูงสุดในส่วนของ Fitness ขณะที่ธุรกิจ Outdoor ทำรายได้สูงสุด ซึ่งชี้ให้เห็นว่า Garmin มีความแข็งแกร่งของธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน และทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากถึง 435 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ควบคุมเองทุกกระบวนการ กลยุทธ์หลัก Garmin

คุณมิสซี่ ยาง ผู้อำนวยการประจำ การ์มิน ประเทศไทย เผยว่า กลยุทธ์การขยายธุรกิจของ Garmin เป็นกลยุทธ์แนวดิ่ง (Vertical Integration) ซึ่งหมายถึงการที่ Garmin เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การพัฒนาด้านวิศวกรรม การผลิต การตลาด ตลอดจนการให้บริการ โดยกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพทั้งสายการผลิต  รวมถึงสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้

ส่วนกลวิธีในการบุกตลาดเพิ่ม ผู้บริหาร Garmin บอกว่ามีทั้งการขยายเวลารับประกันสินค้าเป็น 2 ปี สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าตั้งแต่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไป และการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการได้รับใบอนุญาตการใช้งานเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาในเรื่องการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วยแอปพลิเคชัน (ECG App) แล้วด้วย

รีเฟรชแบรนด์ผ่านแมสเสจใหม่ Beat Yesterday

สำหรับการเติบโตของ Garmin ในปีนี้ ได้รับการเปิดเผยจาก คุณหรรษา อาภานุกูล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด การ์มิน ประเทศไทย ที่กล่าวว่าจะให้ความสำคัญกับสินค้าใน 3 กลุ่มได้แก่ Outdoor กีฬาเฉพาะด้าน (Specialty) และ Wellness โดยใน 3 กลุ่มนี้ สินค้า Outdoor ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยด้วยส่วนแบ่ง 48% รองลงมาคือ กีฬาเฉพาะด้าน 32% และ Wellness 20% ซึ่งทำให้ผู้บริหาร Garmin มองว่า กลุ่ม Wellness คือกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

คุณหรรษา อาภานุกูล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด การ์มิน ประเทศไทย

แต่สิ่งที่ Garmin จะทำเพิ่มเติมอีกข้อก็คือการรีเฟรชแบรนด์ ด้วยเมสเสจใหม่ นั่นคือ Be More, Beat Yesterday พร้อมแบ่งตลาดออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อทำการสื่อสารให้ตรงกับแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น โดยทั้ง 3 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มมือใหม่ กลุ่มรักสุขภาพ และกลุ่มนักกีฬา

เติบโตอย่างไรในยุคที่ Gen AI ครองเมือง

สำหรับความท้าทายที่หลายธุรกิจต้องเผชิญในยุคที่ Generative AI ก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า Garmin ก็อยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกัน ที่สำคัญ Garmin ยังไม่มีแบรนด์สมาร์ทโฟนเป็นของตนเองสำหรับเชื่อมต่อกับ Gen AI เหล่านั้นโดยตรง ในจุดนี้ คุณเจสซี่ ยาง ผู้บริหาร Garmin ให้มุมมองว่า บริษัทเน้นทำงานร่วมกันกับบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนทุกค่าย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด อีกทั้งการเป็น GPS Company ก็ทำให้บริษัทเน้นไปที่การผลิตอุปกรณ์ GPS ที่เชื่อถือได้ เพื่อตอบโจทย์แต่ละอุตสาหกรรม ตลอดจนผู้บริโภคแต่ละกลุ่มให้ดีที่สุดด้วย เห็นได้จากค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาที่เพิ่มขึ้น 10% โดยส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรด้านวิศวกรรม (อ้างอิงจากผลประกอบการไตรมาส 1/2024)

ปัจจุบัน สำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ที่รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานทั่วโลกกว่า 80 แห่ง พร้อมพนักงานกว่า 16,000 ราย ส่วนในเอเชียพบว่า มีสำนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 21 แห่ง พร้อมพนักงานกว่า 7,600 ราย และสินค้าที่มีราคาแพงที่สุดของ Garmin ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ก็คือนาฬิกาสำหรับนักดำน้ำ รุ่น Descent Mk3i โดยตั้งราคาไว้ถึง 57,990 บาทเลยทีเดียว

นาฬิกาสำหรับนักดำน้ำ รุ่น Descent Mk3i ราคา 57,990 บาท

Source


แชร์ :

You may also like