ถ้าให้นับแบรนด์ไทยที่มีอายุอานามร่วม 100 ปี ที่ยังอยู่ในกระแสแถมครองใจผู้บริโภคให้นึกถึงมาเป็นอันดับแรกในตลาดยาดม “โป๊ยเซียน” คงเป็นหนึ่งในคำตอบ…ในใจใครหลายคนอย่างแน่นอน
กว่า 88 ปีของ บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด หรือที่รู้จักกันดีในนามของผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ตรา “โป๊ยเซียน” ที่มาพร้อมสโลแกน “ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน” จนกลายเป็นวลีฮิติดหูใครหลายคนตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา แถมยังกลายเป็นไอเทมฮิตที่หลายคนต้องมีไว้ติดตัวทั้งแก้วิงเวียน หน้ามืด ไปจนถึงเพื่อเพิ่มความสดชื่นและผ่อนคลายในยามที่อากาศร้อน
Brand Buffet สัมภาษณ์พิเศษ “ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์” ทายาท GEN 4 กับบทบาทนำทัพ “โป๊ยเซียน” สู่ยุคใหม่ในฐานะ กรรมการ และที่ปรึกษาบริษัทฯ ถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจและฝันใหญ่กับการนำทัพโป๊ยเซียน ทะยานโกลบอลแบรนด์ในอีก 10 ปีข้างหน้า
“ผมไม่เคยเห็นมียุคไหนที่ยาดมมีเยอะ และหลายแบรนด์เท่ายุคนี้มาก่อน” คำกล่าวแรกของเจ้าตัวเมื่อถูกถามถึงการแข่งขันในตลาดยาดมเมืองไทยที่มีจำนวนผู้เล่นและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา
ดร.ณัฐพงศ์ ยังบอกอีกว่า ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาร้านของฝากยังไม่มียาดมเยอะขนาดนี้และต่างชาติยังไม่รู้จักสินค้าประเภทนี้มากนัก แต่จากการท่องเที่ยวของไทยที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้วันนี้ “ยาดม” กลายเป็นหนึ่งไอเทมเด็ดที่ทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างจับจอง ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวชาวคนจีน แต่ยังรวมถึงเกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และชาวตะวันตก
นี่คือโอกาสสำคัญในการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจเพราะการขยายตลาดไปยังต่างประเทศเป็นการสร้างการเติบโตอีกทางหนึ่งเพราะหากย้อนกลับมาดูแนวโน้มประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และมีอัตราการเกิดน้อยลง ดังนั้นธุรกิจต่างๆ จึงจำเป็นต้องมองหาการเติบโตโดยมองไปที่ต่างประเทศเป็นส่วนสำคัญ
“ซื่อสัตย์” และ “ให้เกียรติ” 2 หลักคำสอนที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
การที่มีผู้เล่นในตลาดยาดมมากขึ้น ดร.ณัฐพงศ์ไม่ได้มองว่าเป็นความท้าทายเชิงการแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่คือบรรยากาศในเชิงบวกของตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย เพราะการร่วมกันขับเคลื่อนสมุนไพรไทยของดีของไทยให้เติบโตคู่กันไปจะเป็นการเพิ่มมาตรฐานผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าตระกูลยาดม ยาหม่อง และพิมเสนน้ำ
“วันนี้ผมรู้สึกดีใจเมื่อมองที่ร้านของฝาก ผมเจอว่ามีสินค้าประเภทยาดมยาหม่องอยู่มากมายและมีชาวต่างชาติช่วยกันซื้อ นั่นแปลว่าเราทั้งหมดช่วยกันทำตลาดและผลักดันสินค้าเหล่านี้ให้เป็นทุนทางวัฒนธรรมของไทย หรือที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมสร้างชื่อเสียงและเม็ดเงินเข้าประเทศอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยให้เติบโต”
แน่นอนด้วยความที่อยู่คู่สังคมไทยมานานบวกกับคลุกคลีกับธุรกิจของที่บ้านมาตั้งแต่เด็กทำให้ “ดร.ณัฐพงศ์” เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคม ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านของเส้นทางธุรกิจในแต่ละยุคได้เป็นอย่างดี ทำให้การเข้ามาทำงานในฐานะผู้บริหารรุ่นใหม่ครั้งนี้ หัวใจสำคัญของการทำงานคือการสร้างแบรนด์เพื่อให้ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
ผ่านสิ่งที่ยึดมั่นและจะไม่ทิ้งในหลักการที่ได้รับการบ่มเพาะสั่งสอนมาจากคุณย่า (คุณวิยะดา ลาภบุญทรัพย์) ที่สอนเสมอว่า จะต้อง “ซื่อสัตย์” กับผู้บริโภค และ “ให้เกียรติพนักงาน” นั่นคือ คุณค่า (Value) ที่แบรนด์จะไม่เปลี่ยนเพราะโป๊ยเซียนมีวันนี้ได้ เพราะการสั่งสมประสบการณ์ผ่านความซื่อสัตย์ของสินค้าที่มีต่อลูกค้า ตลอดจนการให้ความสำคัญกับพนักงาน ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญขององค์กร และนั่นคือสิ่งที่เรายึดถือไม่ว่ายุคใหม่อะไรจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน
เพราะฉะนั้นยาดมทุกหลอด ก่อนจะปิดฝาจะต้องเนี้ยบทุกกระบวนการผลิต ตั้งแต่ขั้นตอนของการรับวัตถุดิบไปจนถึงการปิดแท็งก์ ที่ตนเองจะเข้าไปปิดแท็งก์เป็นลำดับสุดท้ายเสมอ เพื่อตรวจสอบคุณภาพให้ดีที่สุดก่อนบรรจุลงบรรจุภัณฑ์
“วันนี้ต่อให้ใครมาตรวจหรือใครอยากเจอสามารถมาหาเราได้ทุกวันโดยไม่ต้องนัดเพราะเราทำเหมือนกันทุกวันทุกกระบวนการผลิตและทุกขั้นตอนดังนั้นขอให้เชื่อใจได้ว่าโป๊ยเซียนทุกหลอดจะมีกลิ่นและคุณภาพเท่าเทียมกันเสมอ”
หากพูดง่ายๆ ก็เปรียบเหมือนร้านยำที่กินเป็นประจำ ถ้าวันนึงเค้าเปลี่ยนจากมะนาวสดเป็นมะนาวผง ถามว่ามันเปรี้ยวเหมือนกันไหม ก็เปรี้ยว แต่ถามว่ารสชาติเหมือนกันไหม ก็เหมือนไม่ทั้งหมด แล้วคนที่เป็นลูกค้าเองนั่นแหละที่จะเสียความรู้สึกแล้วก็เสียใจจนหายไปในที่สุด
จากร้านขายยาแผนโบราณ สู่แผนยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในตลาดโลก ในอีก 10 ปี
อย่างไรดีหากย้อนเส้นทาง 88 ปี เป็นที่รู้กันดีว่า “โป๊ยเซียน” มีจุดกำเนิดมาจากร้านขายยาสมุนไพรแผนจีนของชาวจีนแต้จิ๋ว โดยตระกูลลาภบุญทรัพย์เมื่อปี พ.ศ. 2479 โดยในช่วงแรกๆ โป๊ยเซียนยังไม่ได้ขายยาดม เพราะเน้นขายยาแผนโบราณ เช่น กอเอี๊ยะ และยาดองเหล้าต่างๆ ก่อนจะมาขยายไลน์สินค้าและจำหน่ายยาดมในภายหลัง
จวบจนปัจจุบันโป๊ยเซียนกลายเป็นเบอร์ 1 ในตลาดยาดม ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ราว 65-70% ในหมวดยาดม อีกทั้งยังโกยรายได้กว่า 967 ล้านบาท และมีอัตรากำไรโตกว่า 33.27 % หรือ 296 ล้านบาทในปี 2565 ที่ผ่านมา และด้วยอายุอานามกว่า 88 ปีแล้ว ทำให้เราไม่ปฏิเสธว่าด้วยรูปลักษณ์ ด้วยโลโก้ต่างๆ กับภาพลักษณ์ของเราได้อยู่มานานจนกลายเป็นภาพจำ จนทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า…วันนี้ถึงเวลารีแบรนด์ โป๊ยเซียน แล้วหรือยัง?
เพราะหลายคนอาจจะมองว่าธุรกิจก็เช่นเดียวกันอาคาร สถาปัตยกรรม เมื่ออยู่มานานความเก่าแก่ เสื่อมโทรมก็ย่อมมาตามกาลเวลา ทว่าในมุมของผู้บริหารหนุ่มอย่าง “ดร.ณัฐพงศ์” กลับมองว่า “ที่ผ่านมาหลายคนมักจะถามถึงการรีแบรนด์ ทั้งเพื่อความสดใหม่ ความทันสมัย ไปจนถึงรองรับการแข่งขันที่เกิดขึ้น แต่ในมุมมองส่วนตัวกลับมองว่า
ด้วยจุดแข็งของแบรนด์ผ่านโลโก้ที่คนคุ้นเคยซึ่งอยู่คู่คนไทยมา 88 ปี คือจุดแข็ง และ Brand Identity ที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ที่วันนี้ไม่ใช่แค่สูงวัยอีกต่อไป หากแต่ยังขยายวงกว้างไปยังทุกกลุ่มเป้าหมาย เพราะด้วยสภาพอากาศ การทำงาน รูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ล้วนเพิ่มโอกาสในการใช้งานให้ลูกค้าได้มากขึ้น
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า กลุ่มลูกค้าไม่ได้มองว่าโป๊ยเซียนดูเชยหรือดูโบราณแต่อย่างใด แต่มันคือความคุ้นเคยในการใช้งาน ทำให้เรามองตรงนี้มาเป็นจุดแข็งมากกว่าจะรีแบรนด์ นั่นทำให้ทางแบรนด์เลือกใช้ในการสื่อสารแบรนด์ ด้วยการตอกย้ำนั่นคือภาพจำและความคุ้นเคยที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้า ผ่านเรื่องราวที่ผูกพันกันมานานจากรุ่นสู่รุ่น โดยที่เรามองข้ามว่าแบรนด์นั้นทันสมัยหรือเปล่า
“เรามองว่าโลโก้เดิมของเดิมที่อยู่คู่คนไทยมา 88 ปี นั่นคือภาพจำและความคุ้นเคยที่ทำให้เราเข้าถึงลูกค้าผ่านเรื่องราวที่ผูกพันกันมานานจากรุ่นสู่รุ่น โดยที่เรามองข้ามว่าแบรนด์นั้นทันสมัยหรือเปล่าแต่กลับมองไปที่ความผูกพันที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เราจึงยังไม่ได้มีแผนจะรีแบรนด์ในตอนนี้”
ส่วนช่องทางการจำหน่ายจะยังคงโฟกัสไปที่ช่องทางตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าปลีก ตลอดจนโมเดิร์นเทรด และช่องทางจำหน่ายดั้งเดิมเป็นหลักเหมือนเช่นที่ผ่านมา แม้ช่องทางออนไลน์จะเติบโตมากแค่ไหน แต่ “ดร.ณัฐพงศ์” บอกว่า เมื่อใช้ความ “ซื่อสัตย์” เป็นแกนในการทำธุรกิจ แบรนด์ก็จำเป็นต้องซื่อสัตย์กับลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าโดยตรงของบริษัทส่วนหนึ่งมีช่องทางจำหน่ายอยู่ทางออนไลน์ ดังนั้นในปัจจุบัน โป๊ยเซียนจึงยังไม่เข้าไปทำตลาดนี้เอง
ปัจจุบัน โป๊ยเซียนมีสินค้าทั้งหมด 6 รายการ มีจำหน่ายในประเทศไทย และส่งออก โดยในประเทศไทยจะมี
- ยาดมตราโป๊ยเซียน
- ยาดมพีเป็กซ์ แบบหลอดแดง
- ยาดมพีเป๊กซ์ แบบ 2 อิน 1
- พิมเสนน้ำ 3 แบบ (โรลออน สำลี และขวดแก้ว)
และรายการผลิตภัณฑ์สำหรับส่งออก จะเป็นยาดม Mark II และ ยาดมเป๊กซ์ ซึ่งไม่มีขายในประเทศไทย
นอกจากแผนงานด้านธุรกิจแล้วในปี 2567 โป๊ยเซียนตั้งใจสานต่อเจตนารมณ์ ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพ การยกระดับภาพลักษณ์อุตสาหกรรมสมุนไพรไทย การพัฒนาองค์กรและคุณภาพชีวิตของพนักงานทุกคนให้มีความสุข รวมถึงการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านแคมเปญ “Poysian Go Green Together” แคมเปญที่สร้างความสุขให้แก่สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวคิด “ให้ทุกการพักผ่อน มีโป๊ยเซียนทุกลมหายใจ” สร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมด้วยกิจกรรมพิเศษต่างๆ มากมายตลอดปี
อาทิ กิจกรรมมอบเก้าอี้ม้านั่งเพื่อสาธารณประโยชน์ให้กับโรงพยาบาล และอุทยานประวัติศาสตร์ทั่วประเทศ กิจกรรมความสนุกโป๊ยเซียนสไลเดอร์ยักษ์ความยาวกว่า 55 เมตร ใจกลางสยามสแควร์ ในงาน สงกรานต์สยาม ผ้าขาวม้า อยู่เย็นเป็นสนุก กิจกรรมความสนุก ในงาน Phangnga Music On The BEACH & Craft Festival กิจกรรมสร้างถนนเส้นประวัติศาสตร์ด้วยพลาสติกเหลือใช้ และรณรงค์ลดใช้พลาสติกเพื่อลดขยะในชุมชนด้วย
“โป๊ยเซียน” ในต่างประเทศเมื่อสมุนไพรไทยต้องขึ้นเขา-ลงห้วยไปทำตลาด ก่อนวางขายใน 12 ประเทศ 4 ทวีป
ขณะที่ในส่วนของตลาดต่างประเทศปัจจุบันโป๊ยเซียนเข้าทำตลาดแล้วใน 4 ทวีป (ยังไม่นับที่มีการซื้อไปจำหน่ายในประเทศนั้นๆเอง) โดยกลุ่มประเทศที่ขายดีคือกลุ่มในประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา รวมถึงประเทศที่อยู่ไกลออกไป เช่น กานา ซึ่งเป็นประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก
โดยยุคแรกที่เราไปขายในต่างประเทศเลยคือยุคของคุณพ่อ (คุณวรานนท์ ลาภบุญทรัพย์ ) เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ที่ท่านนั่งรถไปขายในประเทศเพื่อนบ้านทั้งขึ้นเขา ลงห้วย จนประสบความสำเร็จ จนทุกวันนี้ต่อยอดไปหลายประเทศ ซึ่งกลุ่มประเทศยุทธศาสตร์ นอกประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนแล้ว ยังขายดีในต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน (เอเชีย) ญี่ปุ่น (เอเชีย) กานา (แอฟริกา) หรือบาร์เบโดส (อเมริกาเหนือ) ก็มีการค้ากันสม่ำเสมอ
แม้ปัจจุบันสัดส่วนการค้าในประเทศจะสูงกว่าการส่งออก แต่โป๊ยเซียนก็พยายามขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้มีการไปออกบูธที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของไทยและซาอุฯ จะได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตและพาณิชย์กันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลเปิดการค้าตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา
ท้ายที่สุดฝันใหญ่ของ “ดร.ณัฐพงศ์” นั้น อยากให้โป๊ยเซียนเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อให้คำว่า “ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย” หรือ “Thai Herbal Product” เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกอย่างยั่งยืน
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE