ทำเนียบแบรนด์รถยนต์ระดับตำนาน 100 ปี มีสมาชิกใหม่ ได้แก่ แบรนด์ MG ที่เปลี่ยนผ่านมาหลายยุคสมัยทั้งในแง่ของการดีไซน์ นวัตกรรม รวมถึงการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่จากเมืองผู้ดีอังกฤษ มาสู่ประเทศมหาอำนาจอย่างจีน และถูกยกระดับไปสู่การเป็น Global Brand ส่งออกไปขายกว่า 16 ประเทศทั่วโลก ไปย้อนดู Key Success อะไรที่ทำให้แบรนด์ MG ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
MG เจ้าตำนานรถสปอร์ตของโลก
ถ้าย้อนไปจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่มาจากชื่อย่อ “Morris Garage” ซึ่งเป็นอู่ซ่อมรถของ William Morris และ Cecil Kimber ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Oxford ประเทศอังกฤษ ด้วยความหลงใหลรถสปอร์ตและมีความเชื่อว่าพื้นที่ของรถยนต์สปอร์ตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสนามแข่งเท่านั้น จึงเริ่มพัฒนารถสปอร์ตเพื่อจำหน่ายแล้วก็ทำได้สำเร็จกวาดยอดขายได้หลักแสนคัน หนึ่งในคุณสมบัติที่แบรนด์ระดับตำนานพึงมี คือ บทบาทการเป็นผู้กล้าทำสิ่งใหม่ ๆ ให้กับโลก
ในช่วงปี ค.ศ. 1952-1962 นั้น รถสปอร์ตแบรนด์ MG ได้รับความสนใจ และกลายเป็นขวัญใจของเหล่านักสะสมในยุคปัจจุบัน เช่น MGA ที่ตอกย้ำให้แบรนด์ MG เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่ออกแบบรูปลักษณ์ทันสมัย ด้วยโครงสร้างเหล็กทั้งคัน ทำยอดขายกว่า 100,000 คัน ตัวถังได้ต้นแบบจากการแข่งขัน Le Mans 24 hours ถัดมาในช่วงปี 1962-1980 MG มีรถที่มีชื่อเสียงทั่วโลกหลายรุ่น เช่น MGB GT V8 ใช้เครื่องยนต์ V8 โรเวอร์ (Rover) 3,258 ซี.ซี. เป็นเครื่องยนต์ที่ผลิตจากโลหะอัลลอยด์ น้ำหนักเครื่องเบา ทำให้กินน้ำมันน้อยลง และควบคุมเครื่องง่าย ฯลฯ
MG หลังย้ายมาอยู่ภายใต้บังเหียน SAIC MOTOR กลุ่มบริษัทรถยนต์รายใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศจีน ผลิตรถยนต์แบรนด์ดังระดับโลกมากกว่า 15 แบรนด์
ความยิ่งใหญ่ของ SAIC MOTOR ปี 2023 ที่ผ่านมา SAIC MOTOR มียอดขายรถรวมกว่า 5.02 ล้านคัน มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 17% และมีปริมาณการส่งออกรถไปทั่วโลกมากกว่า 1.208 ล้านคัน โดยมีอัตราการเติบโต 18.8% เมื่อเทียบกับปี 2022 และมีปริมาณยอดขายรถยนต์ New Energy มากกว่า 1.123 ล้านคัน เติบโตถึง 4.6% เมื่อเทียบกับปี 2022 มียอดขายรถยนต์รวมกว่า 5.02 ล้านคัน เมื่อฐานการผลิตมั่นคง โอกาสที่จะเติบโต หรือขยับขยายก็ย่อมมีมากขึ้น
ปัจจุบัน MG กลายเป็น Global Brand และมีตลาดส่งออกหลักๆ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี ออสเตรเลีย อินเดีย ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น ในปี 2023 ที่ผ่านมา MG มียอดขายทะลุ 380,000 คัน ในกว่า 16 ประเทศ ทั่วโลก
รถยนต์นั่งที่ส่งออกจากประเทศจีนมากที่สุด คือ MG ZS โดยมียอดส่งออกกว่า 201,874 คัน ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการส่งออกมากที่สุด คือ MG4 ELECTRIC ยอดส่งออกมากกว่า 138,736 คัน ซึ่งโมเดลนี้พร้อมผลิตในประเทศ ตลาดในไทยเต็มสูบ ถัดมาคือ MG5 มียอดส่งออกกว่า 109,431 คัน และทั้ง 3 รุ่น ล้วนเป็นรุ่นที่ MG นำเข้ามาทำตลาดเมืองไทยทั้งสิ้น
MG นักพัฒนาสร้างผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ที่เท่าทันเทรนด์ตลาดโลก
ในยุคที่ยานยนต์กำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างรถยนต์ไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) MG ก็เป็นแบรนด์แรกๆ ที่โดดเข้าสู่สนามของรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังในทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย ปัจจุบัน MG จำหน่ายรถไฟฟ้ามากถึง 5 รุ่น หลากหลายรูปแบบการใช้งานเพื่อให้ตอบโจทย์คนไทยได้ครอบคลุมที่สุด ควบคู่ไปกับการวางโครงสร้างแบบ 360 องศาผ่าน EV ECOSYSTEM เพื่อรองรับการเติบโตของสังคมอีวีระยะยาว
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยช่วงปีที่ผ่านมาแข่งกันอย่างดุเดือด การตบเท้าของแบรนด์รถยนต์จีนที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยดูจะยิ่งทำให้ค่ายรถยนต์ต่างตื่นตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงกระแสความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าที่นับวันจะยิ่งทวีคูณ เหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับ MG
ต้องยอมรับว่า MG ถือเป็นแบรนด์จีนที่เข้ามาลุยทำตลาดในประเทศไทยเป็นเจ้าแรก ๆ และอยู่คู่กับคนไทยมากว่า 10 ปี ซึ่งข้อดีของการเป็นผู้พี่ ที่เข้ามาทำตลาดก่อนย่อมทำให้ MG คุ้นเคยกับตลาดเมืองไทยมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ อีกทั้งการเข้ามาของแบรนด์ MG ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนไม่ว่าจะด้านดีไซน์ เทคโนโลยี ไปจนถึงราคาจำหน่ายที่คุ้มค่า คุ้มราคา ทำให้ตัวเลขยอดขายก้าวขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของเมืองไทยอย่างรวดเร็ว จนมีรถยนต์ MG โลดแล่นอยู่บนท้องถนนกว่า 200,000 คันแล้ว
เหล่านี้ คือ ตัวอย่างของการเป็นนักพัฒนาและการปรับตัวของแบรนด์ MG ที่ทำให้สามารถยืนหยัดอยู่มาได้นานถึง 100 ปี และกลายหนึ่งใน Global Brand สำคัญที่ผลักดันให้เกิดการพลิกโลกยานยนต์โดยเฉพาะเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า
ในโอกาสครบ 100 ปี ของแบรนด์ เชื่อว่า MG คงมีเซอร์ไพรส์ให้กับลูกค้าคนไทยแน่นอน หนึ่งในนั้นดูจะเป็นการมาของ MG CYBERSTER ที่ถ่ายทอดดีไซน์ของรถคลาสสิค MGB ผสานกับความล้ำสมัยได้อย่างลงตัวจนกลายเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ที่ เรียบหรู และโดดเด่นอย่างมาก ซึ่ง MG ประเทศไทย ได้เปิดจองสิทธิ์ให้เป็นเจ้าของก่อนใคร และวางแผนเตรียมเปิดตัวในปีนี้ แต่จะเป็นอะไรคงต้องติดตามกันต่อไป