HomeBrand Move !!ทรูเปิดตัวเลขไตรมาส 3 ผู้ใช้งานแตะ 51.4 ล้านเลขหมาย รายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 1.4%

ทรูเปิดตัวเลขไตรมาส 3 ผู้ใช้งานแตะ 51.4 ล้านเลขหมาย รายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 1.4%

แชร์ :

บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลดำเนินการไตรมาส 3/2566 พบรายได้รวมปรับตัวดีขึ้น โดยมีจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มเป็น 51.4 ล้านเลขหมาย และรายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 1.4% (QoQ)

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

คุณมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ผลประกอบการทางการเงินของทรู คอร์ปอเรชั่น ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สามภายหลังจากการควบรวมทรูดีแทคผ่านไป 6 เดือน โดยในไตรมาสที่ 3/2566 ผลจากการรวมธุรกิจทำให้เรามีรายได้จากการให้บริการสุทธิ 4.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ (ค่าใช้จ่ายการลงทุน) CAPEX และ EBITDA”

Single Grid บูรณาการเสาสัญญาณกว่า 300 แห่ง

คุณมนัสส์ได้กล่าวต่อไปด้วยว่า “สำหรับโครงการดำเนินการรวมโครงสร้างเสาสัญญาณภายใต้โครงข่ายเดียว (Single Grid) มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนหลังจากการเริ่มดำเนินการไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยภายในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน มีการบูรณาการเสาสัญญาณไปแล้วมากกว่า 300 แห่ง และปรับปรุงจุดที่ซ้ำซ้อน 100 แห่ง ซึ่งช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งได้บริหารค่าเช่าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการดำเนินการ Single Grid จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ในไตรมาสที่ 4 ตามแผนที่กำหนดไว้”

สำหรับผู้ใช้บริการ FMC คุณมนัสส์เผยว่า เพิ่มขึ้น 8% หลังจากการควบรวม และมีรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) กลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 10% ด้วย

รายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่ม 3.7%

ด้านคุณชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดีแทคและทรูยังคงเป็นแบรนด์ชั้นนำในใจของนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างชาติ โดยเรายังคงนำศักยภาพเทคโนโลยีทั้งการวิเคราะห์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาออกแบบบริการให้ตรงใจเฉพาะแต่ละกลุ่มลูกค้า สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งเราได้เห็นรายได้เฉลี่ยต่อวันของนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นถึง 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคะแนนความพึงพอใจลูกค้าสูงขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการรวมธุรกิจ โดยปัจจุบันได้มีการแลกสิทธิประโยชน์ไปแล้ว 120 ล้านรายการภายใต้โปรแกรมสิทธิพิเศษของทั้ง ทรูและดีแทค และ ณ สิ้นสุดของไตรมาสที่ 3/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลรวมประมาณ 15 ล้านราย”

“สำหรับการดำเนินงานเชิงพาณิชย์นั้น เราประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพถึง 56% ด้วยการใช้แพลตฟอร์มอันหลากหลายเป็นช่องทางในการให้บริการลูกค้าในรูปแบบ Omni Channel ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2566 ทำให้มีจำนวนช้อปที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการทั้งหมดแก่ลูกค้าทั้งดีแทคและทรูเพิ่มขึ้น”

“และด้วยความครอบคลุมของเครือข่าย 5G ที่ 90% และ 4G ที่ 99% ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ทำให้ทรูยังคงเป็นผู้นำเครือข่าย 5G ที่มีสัญญาณครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยไตรมาสที่ 3/2566 มีจำนวนผู้ใช้งาน 5G มากที่สุดถึง 9.4 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่าเครือข่าย 5G ของทรูเป็นเครือข่ายที่ได้รับการชื่นชอบมากที่สุดในไทย ซึ่งความตั้งใจที่จะเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องนำมาสู่การใช้งานดาต้าทั้ง 4G และ 5G ของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา พร้อมกับการเพิ่มรายได้ ARPU ของลูกค้า 5G มาโดยตลอด”

ผู้ใช้มือถือเพิ่ม 2.54 แสนราย

สำหรับตัวเลขผู้ใช้งานในไตรมาสที่ 3 นี้ พบว่า ทรูและดีแทคมีจำนวนผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 254,000 ราย รวมเป็น 51.4 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา และ จำนวนผู้ใช้งาน 5G สูงถึง 9.4 ล้านราย เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสที่ 2/2566 โดยมาจากปัจจัยหลักคือการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารพร้อมกับบริการร่วมกัน

คุณนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นสำหรับไตรมาสที่ 3/2566 โดยได้แรงหนุนจากรายได้บริการที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง EBITDA ที่เป็นมาตรฐานดีขึ้นเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ

รายได้จากการดำเนินงานรวมปรับเพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการบริการและยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) พร้อมกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของจำนวนผู้ใช้บริการ

เปิดตัว iPhone ดันรายได้

ทั้งนี้ การเติบโตแบบแข็งแกร่งส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มเป็น 51.4 ล้านเลขหมาย ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ในขณะที่รายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 1.4% (QoQ) ซึ่งได้ผลดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มใช้แรงงานข้ามชาติ ควบคู่ไปกับการปรับข้อเสนออย่างเหมาะสม โดยรายได้จากโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) เพิ่มขึ้น 5.8% (QoQ) โดยได้แรงหนุนหลักจากคอนเสิร์ต สำหรับยอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น 18.7% (QoQ) จากการเปิดตัว iPhone ใหม่ในไตรมาส 3/2566

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) เพิ่มขึ้น 7.7% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นด้านต้นทุนขายควบคู่กับผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 15.1% ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time positive impact) ในไตรมาส 2/2566 ทั้งนี้ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นของการดำเนินงานเป็นอย่างดี จากการริเริ่มด้านประสิทธิภาพของโครงสร้างและประโยชน์จากการผสานรวมกัน ขณะที่การปรับปรุง (Normalized) EBITDA เพิ่มขึ้น 2.0% (QoQ) ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่สามติดต่อกันของการเติบโตนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ การปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA ได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตขึ้น และการรับรู้ผลประโยชน์จากการผสานรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลอัตรากำไร EBITDA รายได้รวมอยู่ที่ 54.1% โดยขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี จำนวน 1,598 ล้านบาท ปรับฟื้นขึ้น 31.1% (QoQ) รวมค่าใช้จ่ายผสานรวมกันในไตรมาส เงินลงทุน หรือ CAPEX ในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 3,481 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ในด้านความยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงครองอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมของโลก 5 ปีซ้อน และคงสถานะสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แสดงถึงความมุ่งมั่นด้านความรับผิดชอบครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ทั้งมิติด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล

สำหรับการคาดการณ์ในปี 2566 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำ-ปานกลาง (low-to-mid single digit) และยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้

ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส 3 ปี 2566
รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC (การจัดประเภทใหม่) จำนวน 39,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% (QoQ)
EBITDA อยู่ที่ 21,443 ล้านบาท ลดลงราว 3.9% (QoQ)
อัตรากำไร EBITDA (เมื่อเทียบกับรายได้รวม) อยู่ที่ 54.1%
ขาดทุนสุทธิ จำนวน 1,598 ล้านบาท


แชร์ :

You may also like