HomeSponsoredไทยประกันชีวิต ชูแผน SD Master Plan มุ่งสู่การเป็น “บริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน”

ไทยประกันชีวิต ชูแผน SD Master Plan มุ่งสู่การเป็น “บริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน”

แชร์ :

ในฐานะบริษัทประกันชีวิตรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของคนไทย ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 80 ปี  ทำให้ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI มีความ​เข้าใจอุตสาหกรรมประกันชีวิตอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งเข้าใจความต้องการลูกค้าเป็นอย่างดี

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เพื่อให้ไทยประกันชีวิตแตกต่าง และเป็นมากกว่าแค่บริษัทประกันชีวิตทั่วไป บริษัทฯ จึงประกาศ Business Purpose มุ่งเป็นทุกคำตอบให้ลูกค้าได้ ทั้งในเรื่องของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ รวมถึงผู้ให้คำปรึกษาด้านการเงิน หรือ Life Solutions Provider และ Brand Purpose การเป็นแบรนด์ที่ได้รับความชื่นชม ความไว้วางใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้สังคม

และเพื่อตอกย้ำการขับเคลื่อนธุรกิจตามวิสัยทัศน์  มุ่งสู่การเป็น “บริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน” ด้วยการขับเคลื่อนองค์กรและสังคมให้เติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยกำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ Sustainable Development Goals: SDGs ของสหประชาชาติ ขณะเดียวกันในฐานะของการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯ จึงตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลผลกระทบต่อทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน หรือการขับเคลื่อนตามกรอบ ESG (Environment/ Social / Governance)​

บริษัทประกันชีวิตรายแรกที่มี SD Master Plan

TLI  เป็น​บริษัทประกันชีวิตแห่งแรกที่ร่วมกับสถาบันไทยพัฒน์  จัดทำ แผนแม่บทความรับผิดชอบต่อสังคม  มาตั้งแต่ปี 2551  ก่อนยกระดับสู่​  แผนแม่บทด้านการพัฒนาสู่ความยั่งยืน”  หรือ  SD Master Plan  ในปี 2561 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน   โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน  หรือ SD Committee  โดย คุณไชย ไชยวรรณ  กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยประกันชีวิต ​ประกาศ SD Roadmap เพื่อเป็นกรอบในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งมีการบูรณาการร่วมกันให้เกิดเป็น Ecosystem ​เพื่อสามารถสร้าง การส่งมอบคุณค่าแห่งความยั่งยืน ให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนได้ครบทุกมิติผ่าน 6 คุณค่าหลัก​ ต่อไปนี้

ส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้า ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการประกันชีวิต และพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกระดับทุกชุมชนของสังคมไทย

ส่งมอบคุณค่าให้กับพนักงานและตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทฯ มุ่งมั่นเสริมสร้างบุคลากรให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี และสามารถส่งมอบความรู้ด้านประกันชีวิต ประกันสุขภาพ การวางแผนทางการเงินให้กับชุมชนในสังคม

ส่งมอบคุณค่าให้คู่ค้าและพันธมิตร ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจตามกรอบ ESG ของพันธมิตร ​​รวมทั้งการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อเป็นบริษัทประกันชีวิตที่คู่ค้าและพันธมิตรเลือก

ส่งมอบคุณค่าให้ผู้ถือหุ้นหรือนักลงทุน ส่งมอบผลตอบแทนการลงทุนที่ยั่งยืน และมีการจัดการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมประเด็น ESG

ส่งมอบคุณค่าให้กับหน่วยงานกำกับดูแล ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างรัดกุม มีการบูรณาการด้านธรรมาภิบาล สังคม สิ่งแวดล้อม และปฏิบัติตามกฎระเบียบ​​ และให้ความสำคัญการคุ้มครองผู้บริโภคและความปลอดภัยของข้อมูล (PDPA)

ส่งมอบคุณค่าของชีวิต คุณค่าแห่งความรัก และคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นแก่นของธุรกิจประกันชีวิตให้แก่สังคมไทยและคนไทย ตอกย้ำการเป็นธุรกิจที่รับผิดชอบและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนในสังคม

เติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความผันผวน

การขับเคลื่อนของไทยประกันชีวิต ถือว่าสอดคล้องกับบริบทในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน เพราะธุรกิจที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องแข็งแกร่งมากกว่าแค่มิติของผลกำไร แต่ต้องสร้างสมดุลและส่​งมอบคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดทั้ง Ecosystem เพื่อสามารถรับมือกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย

การมี SD Master Plan จึงเข้ามาช่วยตอกย้ำเป้าหมายในการ “มุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน” ที่มองการเติบโตได้แบบระยะยาวและรอบด้าน และสร้างความมั่นใจให้ทั้งลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร รวมถึงผู้ลงทุน ซึ่งจะผลักดันให้ไทยประกันชีวิตเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน ก็มีส่วนเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโต โดยเฉพาะหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการก้าวสู่สังคมสูงอายุของประเทศไทย ทำให้ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพ และมองหาหลักประกันสร้างความมั่นคงให้กับอนาคตที่ไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับโอกาสที่ตลาดยังสามารถเติบโตได้อีกมาก เมื่อพิจารณาจากอัตราการเข้าถึงกรมธรรม์โดยเฉลี่ยของคนไทย

และเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการ 9 เดือนแรก ของปี 2565​ พบว่า TLI สามารถเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า ทั้งการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันใหม่ที่เติบโตได้ถึง 26% มีรายได้อยู่ที่ 9,641 ล้านบาท ขณะที่อัตราผลกำไรตลอดอายุกรมธรรม์ (Value of New Business : VONB) เพิ่มขึ้น 29% หรือเท่ากับ 5,151 ล้านบาท ส่งผลให้ VONB Margin หรือกำไรจาก VONB เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยมาอยู่ที่ 53.4% รวมทั้งสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมาอยู่ที่ 14.1%

นอกจากนี้ ยังสามารถเติบโตขึ้นในทุกช่องทางขาย ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านตัวแทน ที่เติบโตขึ้น 25% ส่วนการขายผ่านช่องทางพันธมิตรก็เติบโตขึ้นในอัตรา 41% ซึ่ง TLI จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างกำไรในระยะยาวและไม่ค่อยอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย​ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผล หรือ Participating Product, ผลิตภัณฑ์ควบการลงทุน (Investment Linked Product) และสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์นี้จะผลักดันให้บริษัทฯ มีกำไรอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งการมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมทุกช่วงอายุตั้งแต่วัยทารก ไปจนถึงวัยเกษียณ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถเป็นโซลูชันที่เหมาะกับแต่ละคนได้อย่างแท้จริง

อีกหนึ่งสิ่งที่สามารถสะท้อนถึงการเติบโตอย่างมั่นคง เมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio เมื่อสิ้นเดือน ก.ย. 2565 อยู่ที่ 358% สูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ.กำหนดไว้ที่ 140% มากกว่า 2 เท่าตัว สะท้อนได้ถึงความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงของ TLI อีกทางหนึ่ง

นอกจากการพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์  TLI ยัง​ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคลากร ผ่านการ Upskill และ Reskill โดยเฉพาะการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลให้ตัวแทน เพื่อให้เป็น Digital Agent ที่พร้อมเป็น Life Solutions Partner ที่สามารถดูแลชีวิตและวางแผนทางการเงินให้ลูกค้าได้ในทุกช่วงชีวิต ทุกจังหวะชีวิต และทุกการใช้ชีวิต และยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวแทนเองให้มีศักยภาพและสามารถแข่งขันได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างเชื่อมั่นต่อ TLI ในฐานะธุรกิจที่ขับเคลื่อนตามกรอบ ESG และเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะเพิ่งเข้าตลาดฯ มาได้ไม่นาน โดย​กลุ่มนักวิเคราะห์ ได้คาดการณ์กำไรของ TLI ในสิ้นปี 2565 น่าจะอยู่ที่ 10,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% ​รวมทั้ง TLI ยังเป็นหุ้นของธุรกิจไทยที่ได้รับการประกาศรายชื่อจาก FTSE (ฟุตซี่) หน่วยงานอิสระที่จัดทำดัชนีหุ้นในระดับสากลซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก โดยฟุตซี่จัดให้หุ้นของ TLI อยู่ในกลุ่ม Middle Cap ในดัชนี  ​FTSE All World Index ชุดใหม่ ในครั้งล่าสุดเมื่อ 18 พ.ย. 2565 และมีผลในการปรับน้ำหนักไปเมื่อ 16 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา  

จุดแข็งสำคัญของ TLI คือการมีแบรนดิ้งที่แข็งแรงในฐานะผู้นำธุรกิจประกันชีวิต ที่เป็นบริษัทประกันชีวิตรายแรกของคนไทย​ และได้รับความไว้วางใจมายาวนานกว่า 80 ปี รวมทั้งยังตอกย้ำความเป็น First Mover ด้วยการริเริ่มนำแผนแม่บทด้านความยั่งยืนหรือ SD Master Plan มาเป็นแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ ควบคู่กับการวางกลยุทธ์ภายใต้เจตนารมณ์ที่ต้องการเป็น Life Solutions Provider เพื่อยกระดับธุรกิจให้เป็นมากกว่าแค่การประกันชีวิต แต่สามารถส่งต่อคุณค่าจากการดำเนินธุรกิจผ่านทุกมิติของห่วงโซ่ธุรกิจ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม​ ตลอดจนการอยู่เคียงข้างเพื่อดูแลลูกค้าและคนไทยทุกคนได้อย่างยั่งยืน


แชร์ :

You may also like