ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแบบสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะน้องหมา น้องแมวได้รับความนิยม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากรูปแบบครอบครัวของสังคมยุคใหม่มีขนาดเล็กลง เป็นโสดมากขึ้น มีลูกน้อยลงหรือบางครอบครัวเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนลูก ประกอบกับตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน และ Work Form Home
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ประชาชนหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแบบสมาชิกในครอบครัวหรือลูกมากขึ้น เกิดเป็นสถิติหรือเมกะเทรนด์ใหม่ของโลก พร้อมทั้งผลักดันให้ตลาดผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะน้องหมา น้องแมว ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ทั้งอาหาร ของเล่น ขนม ให้เติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทำให้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ (Pet Food)ในตลาดโลกเติบโตเพิ่มขึ้นสูงขึ้น 5-6% ต่อเนื่อง มีมูลค่าทะลุ 5 ล้านล้านบาท หรือมียอดขายปลีกประมาณ 131,000 ถึง 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีที่ผ่านมา โดยอาหารแมวเติบโต 8% อาหารสุนัข เติบโต 7% โดยกลุ่มอาหารเปียกเติบโต 11% อาหารแห้งเติบโต 5.3% และการเติบโตดังกล่าวยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องสูงถึง 7% ตลอดช่วง 5 ปีนับจากนี้ (ปี 2564-2569)โดยเฉพาะอาหารแมวที่คาดการณ์อั ตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ที่ 8.2% และอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปี ยกสำหรับแมวและสุนัขที่คาดกาณ์ ว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 10.7% ต่อปี
สอดคล้องกับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเมืองไทยมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ที่มีแนวโน้มเติบโตเช่นเดียวกับเทรนด์ในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกและต่อเนื่องช่วง 5 ปีนับจากนี้
ส่งผลให้หลายผู้ประกอบการในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเริ่มคิดค้น พัฒนา พร้อมทั้งเร่งปูพรมตลาดเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดมูลค่ามหาศาลที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้
“ไอ-เทล” ชูนวัตกรรมขนทัพ 4,600 เมนู เอาใจทาสน้องหมา-น้องแมว
เช่นเดียวกับ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ผู้ผลิต (OEM) อาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 2 ของเอเชีย และท็อป 10 ของโลก ในเครือไทยยูเนี่ยนหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ของโลกในปัจจุบัน ภายหลังปรับโครงสร้างธุรกิจอาหารสัตว์ใหม่ในปี 2564 ที่ผ่านมา ด้วยการวางให้ไอ-เทล เป็นบริษัทแกนนำในการประกอบธุรกิจจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงของกลุ่มไปสู่ระดับโลก
คุณพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอ-เทล กล่าวว่า การเติบโตของ Humanization ของครอบครัวที่ดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว โดยสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมสูงตลอดช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ น้องแมว รองลงมาคือน้องหมา ตามลำดับ โดยความนิยมของทาสแมวที่เพิ่มสูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสภาพที่อยู่ศัยของสัมคมเมืองที่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนิยมอยู่อาศัยในคอนโดมากขึ้น ขนาดที่อยู่อาศัยมีขนาดเล็กลง ดังนั้นการเลี้ยงแมวจึงตอบโจทย์สังคมยุคใหม่มากกว่าน้องหมา เหมือนในอดีต
ขณะที่ปัจจัยหลักของบรรดาทาสน้องหมา น้องแมว นึกถึงในการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารให้แก่สัตว์เลี้ยง ส่วนใหญ่สำคัญกับคุณภาพ รสชาติ และความแปลกใหม่ของอาหาร ทำให้บริษัทเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ท้องตลาดและลูกค้า ภายใต้กลยุทธ์ One Stop OEM Factory โดยมีสินค้าหลักในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับน้องแมวกว่า 80% ในการทำตลาด
การพัฒนาเมนูใหม่ๆออกป้อนตลอดของไอ-เทล นอกจากจะให้ทีม R&D ในการพัฒนาสินค้าออกสู่ตลาดแล้ว ยังมีการนำจุดแข็งของกลุ่มไทยยูเนี่ยนเข้ามาสร้างความน่าเชื่อถือของที่มาของแหล่งวัตถุดิบในการผลิต โดยปลาทูน่าที่เป็นจุดแข็งของไทยยูเนี่ยน ที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตกว่า 43-49% ขณะที่วัตถุดิบรองอย่างไก่ ก็ใช้จุดแข็งของไทยในการเป็ผู้ผลิตไก่รายใหญ่มาใช้หัวหอกสำคัญในกระบวนการผลิตเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
โดยปีที่ผ่านมาบริษัทมีการผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดกว่า 1,356 รายการ ทำให้บริษัทมีสินค้าทำตลาดอยู่ใน 45 ประเทศทั่วโลกกว่า 4,600 รายการ และมากกว่า 3 ใน 4 มีผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับแมว
ก่อนที่ในอนาคตจะต่อยอดไปยังนวัตกรรมอาหารเพื่อน้องหมา น้องแมว ที่มีคุณภาพ รสชาติที่ดี และแปลกใหม่ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์กัมมี่แบร์ คอลลาเจน เหมาะสำหรับระบบทางเดินอาหารของสัตว์เลี้ยง,โปรตีนมูส หรือแม้กระทั่งน้ำต้มกระดูกเพิ่มภูมิต้านทาน ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตภัณฑ์สินค้าให้ลูกค้าก่อนพัฒนาสู่ตลาดจริง รวมทั้งศูนย์ i-Tail Cattery เพื่อศึกษาอาหารสำหรับแมวโดยเฉพาะ
ขณะที่ตลาดต่างประเทศจากนี้ไปจะเน้นขยายเข้าไปทำตลาดใน สหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีนมากขึ้น โดยเฉพาะในจีนที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ ยงสำหรับแมวและสุนัข คาดว่าจะมีอัตราการเติ บโตเฉลี่ยต่อปี ที่ 19.8% ในปี 2564-2569 ซึ่งเป็นตลาดที่ ไอ-เทล เล็งเห็นช่องว่างในการเติบโตได้ มากขึ้น จากความนิยมการเลี้ยงน้องหมา น้องแมว และยังเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพทางการเติบโตสูง
“แม้ปัจจุบันเราจะมีญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ที่มีสัดส่วนถึง 15% แต่จากภาพรวมเริ่มอิ่มตัวมากขึ้นทำให้ต้องมีการมองหาโอกาสทางการตลาดในกลุ่มประเทศที่แนวโน้มการเลี้ยงน้องหมา น้องแมวมีการเติบโตสูงอย่าง อเมริกา จีน และยุโรป ที่มีฐานลูกค้าหลักอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ดีในประเทศญี่ปุ่นจะยังคงเดินหน้าทำตลาดต่อแต่จะเน้นการเติบโตในแง่ของมูลค่า (Value) มากกว่าด้วยการหันไปโฟกัสในตลาดพรีเมี่ยมแทนการขายแบบเน้นจำนวน (Volume)”
เตรียมเปิดขาย IPO 660 ล้านหุ้น เร่งลงทุนรับการเติบโตระยะยาว
จากแผนงานข้างต้นทำให้วันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกและแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคึณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้นเป็นครั้งแรก แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย TU ไม่เกิน 60 ล้านหุ้น
โดยการระดมทุนดังกล่าวเพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตของโรงงาน และคลังสินค้าอัตโนมัติในโรงงานหลักทั้ง 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร จะขยายอีก 30,000 พาเลต และโรงงานในจังหวัดสงขลาเพิ่มอีก 15,00 พาเลต ภายในปี 2566 จากปัจจุบันที่โรงงานในจังหวัดสมุทสาคร ที่มีกำลังการผลิต 98,150 ตันต่อปี และจังหวัดสงขลา จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 74,636 ตันต่อปี หรือคิดเป็นกำลังการผลิตรวม 172,786 ตันต่อปี และคลังสินค้ามีพื้นที่จัดเก็บอยู่ 68,770 พาเลต
ควบคู่กับการลงทุนต่อยอดการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ภายในโรงงาน คลังสินค้า เพื่อบริหารจัดการต้นทุนและควบคุมการผลิตให้สามารถดำเนินงานได้ง่ายขึ้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของตลาดที่มีปัจจัยลบเข้ามาเป็นตัวแปรค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น ต้นทุนค่าพลังงาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลประกอบการไอ-เทล ปีที่ผ่านมามียอดขาย 14,529 ล้านบาท หรือมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง 15% ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้ที่มาจากแบรนด์ของตัวเอง อาทิ Bellota อาหารและขนมเกรดพรีเมี่ยมสำหรับแมว, Marvo ผลิตภัณฑ์อาหารสุนัข, ChangTer อาหารและขนมสำหรับแมวที่ดีต่อไต, Calico Bay อาหารแมวแบบฉบับชาวเกาะ, Paramount อาหรสุนัขพรีเมี่ยมจากธรรมชาติ 1% และอีก 99% เป็นส่วนของการรับจ้างผลิต (OEM) โดยมีตลาดส่งออกเป็นตลาดหลัก 99% แบ่งเป็น สหรัฐอเมริกา 44.9 % ยุโรป 19.4% และ ญี่ปุ่น 14.5% และจีน 3.2% ขณะที่ตลาดในประเทศมีสัดส่วนเพียง 1%