ยังเชื่อมั่นว่าธุรกิจท่องเที่ยวกลับมาได้แน่ และประเทศไทย ยังเป็นตัวเลือกแรกๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ AWC ในเครือทีซีซีกรุ๊ป ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่บริหารโดยคุณวัลลภา ไตรโสรัส (บุตรสาว) จึงเดินหน้าขยายการลงทุนโรงแรม ทั้งลงทุนใหม่, รีโนเวทอาคารเดิม และซื้อกิจการ ตลอดช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา
ปัจจุบัน AWC มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 19 แห่ง ตั้งอยู่ใน 6 เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง กรุงเทพฯ กระบี่ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย รวมห้องพักกว่า 5,201 ห้อง
หนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวสำคัญ คือ “เชียงใหม่” ที่นับเป็นศูนย์กลางภาคเหนือ AWC มีพอร์ตโฟลิโอโรงแรม 3 แห่ง จาก 3 เชนโรงแรมระดับโลก คือ 1.แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ 2. มีเลีย โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ และ 3 อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (IHG) โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง
3 เชนดัง 3 Positioning หนุนเชียงใหม่ฮับลักชัวรี่
Travel + Leisure ได้จัดอันดับให้ “เชียงใหม่” เป็นเมืองอันดับ 9 ของโลก ที่นักท่องเที่ยวต้องการกลับมาเยือน จากจุดเด่นด้าน ศิลปะ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ
กลุ่ม Workation ที่เดินทางท่องเที่ยวและทำงานได้ทุกที่ เป็น Digital Nomad ได้โหวตให้เชียงใหม่ ได้อันดับที่ 25 จากทั่วโลก ที่เหมาะกับการมา Workation
“เชียงใหม่” มีจุดแข็งโรงแรมท้องถิ่นให้เลือกพักจำนวนมาก ขณะที่ AWC ได้เสริมจุดเด่นด้วยการร่วมมือกับเชนโรงแรมดัง เพื่อดึงฐานสมาชิกเชนระดับโลกกว่า 400 ล้านคน มาท่องเที่ยวเชียงใหม่ โดยมีความพร้อมด้าน Facilities ต่างๆ เพื่อให้บริการกลุ่มท่องเที่ยวพักผ่อน และตลาด MICE
Meliá Chiang Mai
ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอโรงแรมกลุ่ม AWC ทั้ง 3 แห่ง มี 3 Positioning จับกลุ่มลูกค้าแตกต่างกัน
1. โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงใหม่ จับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ ที่มองหาไลฟ์สไตล์สนุกสนาน และกลุ่ม MICE รุ่นใหม่ การออกแบบเรียบง่าย เน้นสีสันธรรมชาติ และเสริมด้วยศิลปวัฒนธรรม
2. โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ จะรีแบรนด์เป็น “แมริออท” ในช่วงปลายปี 2565 เพื่อดึงกลุ่มลูกค้า ทั้งนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กลุ่มองค์กร และ MICE ขนาดใหญ่
3. โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง ขนาด 1,200 ห้อง จะรีแบรนด์เป็น “อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง” บริหารโดย IHG จับตลาดท่องเที่ยวพักผ่อนและดูแลสุขภาพในกลุ่มไฮเอนด์ ลูกค้าองค์กร และ MICE คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2565
โรงแรมทั้ง 3 แห่งของ AWC จะผลักดันให้ “เชียงใหม่” ให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวระดับลักชัวรี่ของภูมิภาคและของประเทศต่อไป
Meliá Chiang Mai
เปิด “มีเลีย เชียงใหม่” รับสงกรานต์
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2565 AWC ได้เปิดให้บริการ โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ (Meliá Chiang Mai) เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว อาคารสูง 22 ชั้น ขนาด 260 ห้องพัก บริหารโดย Meliá เชนโรงแรมและรีสอร์ทใหญ่ที่สุดในยุโรป สัญชาติสเปน มีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวพักผ่อน
– โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำปิงและไนท์บาซาร์ย่านค้าขายที่มีชื่อเสียงของจังหวัด พร้อมห้องประชุมขนาดใหญ่รองรับธุรกิจ MICE โรงแรมออกแบบภายใต้แนวคิด “CHIANGMAI CHARM” ผสมผสานอัตลักษณ์ ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านการตกแต่งภายในด้วยศิลปหัตกรรมท้องถิ่นร่วมสมัย
– ให้บริการอาหารและผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่แสดงถึงเอกลักษณ์และคุณค่าของจังหวัดเชียงใหม่ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์โควิด เน้นใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และแนวคิด “360 Cuisine” ผ่านบริหารห้องอาหารของโรงแรม ที่เน้นวัตถุดิบท้องถิ่นจากฟาร์มออร์แกนิค จากเกษตรกรในท้องถิ่น โครงการหลวง หรือ Ori9in Farm
– ไฮไลท์จุดชมวิว “ไหม เดอะ สกาย บาร์” ซึ่งถือเป็นรูฟท็อปบาร์ บนยอดอาคารสูงสุดในเมืองเชียงใหม่ เห็นวิวเมืองเชียงใหม่ 360 องศา ทั้งดอยสุเทพและริมแม่น้ำปิง
“เชียงใหม่” ถือเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวทั้งปี เป็นตลาดหลักของคนไทยและต่างชาติ ในช่วงสงกรานต์นี้ ททท.คาดว่าอัตราเข้าพักของท่องเที่ยวภาคเหนือจะเพิ่มขึ้น 36.7% มีนักท่องเที่ยวประมาณ 4 แสนคน จังหวัดหลักคือ เชียงใหม่
Meliá Chiang Mai
ท่องเที่ยวฟื้นตัวปี 2566
คุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC มองว่าตั้งแต่ต้นปี 2565 เห็นสัญญาณบวกการกลับมาเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และธุรกิจท่องเที่ยว หลังจากเผชิญโควิดมาหลายระลอกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ก่อนโควิดปี 2562 โรงแรมเครือ AWC มีอัตราการเข้าพักเกือบ 80% เมื่อเกิดสถานการณ์โควิดในเดือนมีนาคม 2563 สายการบินหยุดบิน อัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC ต่ำสุดเหลือ 1.8% จากนั้นฟื้นตัวจากตลาดในประเทศ ปี 2564 โควิดกระทบหลายช่วงหนักสุดไตรมาส 3 ก่อนจะเริ่มกลับมาฟื้นในเดือนพฤศจิกายน ทำให้อัตราเข้าพักเดือนธันวาคม ทำได้ 40% หลังผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง
โรงแรมในเครือ AWC ไตรมาส 4 ปี 2564 กรุงเทพฯ เริ่มฟื้นตัว อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น 1.8 เท่า, ภูเก็ต เพิ่มขึ้น 8 เท่า และเชียงใหม่ เพิ่มชึ้น 1.8 เท่า นับว่าเป็นโมเมนตัมที่ดีมากและตัวเลขจองห้องพักเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องในต้นปี 2565 ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวและ MICE
หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 2565 ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับเทรนด์การเดินทางที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบ Long Stay และ Workation ซึ่งทำให้เกิดการเดินทางในวันธรรมดามากขึ้น เปิดโอกาสให้บุคลากรในหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ และกลุ่มคนวัยทำงาน สามารถเปลี่ยนสถานที่ทุกที่ให้เป็นที่ทำงาน และประเทศไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“วันนี้เราเห็นเมืองท่องเที่ยวจุดหมายหลักๆ หลายเมืองเปิดรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ อย่าง มัลดีฟส์ ก็ทำตัวเลขกลับมาได้ดีกว่าก่อนโควิด (ปี 2562) ไปแล้ว เชื่อว่าเมื่อประเทศไทยเปิดเต็มรูปแบบ นักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะกลับมาได้เร็วเช่นกัน”
แม้ภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทยปี 2565 ไตรมาสแรกอาจยังไม่เห็นตัวเลขชัด ไตรมาส 2 ค่อยๆ ปรับตัว ไตรมาส 3 และ 4 จะเห็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวดีขึ้น แต่จะเห็นโมเมนตัมที่น่าตื่นเต้นของธุรกิจโรงแรมคงเป็นปี 2566 ที่จะดึงนักเดินทางจากทั่วโลกกลับมาได้อีกครั้ง
ประเทศไทย ได้รับความเชื่อมั่นด้านการจัดการดูแลโควิดได้ดี ธุรกิจท่องเที่ยวมีมาตรฐานด้าน Wellness การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและดูแลชุมชน AWC จะใช้กลยุทธ์การเป็นศูนย์กลางสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมให้ลูกค้าในแต่ละกลุ่มตอบโจทย์รายเซ็กเมนต์ พร้อมขยายพอร์ตโฟลิโอโรงแรมในทำเลศักยภาพต่อเนื่อง และมั่นใจว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ยังกลับมาเติบโตได้หลังโควิด
“การปรับตัวเป็นเรื่องปกติในยุค New Normal การผ่านคลายสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในช่วงโควิด ด้วยกลยุทธ์ที่แน่นอน ในการผนึกกำลังกับพันธมิตรเชนโรงแรมระดับโลก การทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น และธุรกิจในเครือ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและก้าวผ่านวิกฤติโควิดครั้งนี้ไปด้วยกัน”
Meliá Chiang Mai
Meliá Chiang Mai
อ่านเพิ่มเติม