HomeDigitalการ์ทเนอร์เผย 10 คาดการณ์ “เทคโนโลยี” เปลี่ยนชีวิต

การ์ทเนอร์เผย 10 คาดการณ์ “เทคโนโลยี” เปลี่ยนชีวิต

แชร์ :

shutterstock_mobility 5g ai iot

ที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ของบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และนี่คืออีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากการ์ทเนอร์ (Gartner Inc.) ยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจ กับ 10 ความเป็นไปได้ที่จะเกิดกับโลก ทั้งในปีนี้ และอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

1. ธุรกิจใช้ประโยชน์จากข้อมูลผู้บริโภคได้ยากขึ้น

การคาดการณ์ข้อแรกของการ์ทเนอร์ระบุว่า ภายในปี พ.ศ. 2567 ผู้บริโภคราว 40% จะมีพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาที่ถูกติดตามหรือรวบรวมไว้ลดบทบาทลง ซึ่งทำให้ธุรกิจสร้างรายได้จากข้อมูลเหล่านั้นได้ยากขึ้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะผู้บริโภคตระหนักมากขึ้นว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทต่าง ๆ ได้จากพวกเขามีมูลค่ามหาศาล และเมื่อใช้อัลกอริธึมเข้ามาช่วยวิเคราะห์ก็สามารถกำหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่สอดรับกับพฤติกรรมได้

ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคจะมองหาวิธีป้องกันการติดตามข้อมูลและพฤติกรรมส่วนตัวเพื่อเป็นการตอบโต้ อาทิ การให้ข้อมูลที่ไม่จริงหรือคลิกโฆษณาที่ไม่ได้สนใจจริง ๆ ฯลฯ เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถพึ่งพาข้อมูลเชิงพฤติกรรมได้อย่างที่ตั้งใจ

2. ผู้คนสามารถทำงานโดยไม่ต้องมีหัวหน้างาน

shutterstock_office workers

ข้อต่อไป การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี พ.ศ. 2567 ทีมในองค์กรถึง 30% จะทำงานกันได้โดยไม่ต้องมีหัวหน้างาน อันเป็นผลจากการเรียนรู้และกำกับการทำงานด้วยตัวเอง รวมถึงความคุ้นเคยกับธรรมชาติของการทำงานแบบไฮบริด  

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการระบาดของ Covid-19 ทำให้รูปแบบการทำงานแนวใหม่ฝังรากลึกลงไปในหลาย ๆ ธุรกิจ  รวมถึงเปลี่ยนบทบาทการตัดสินใจจากศูนย์กลางมาเป็นแบบเพียร์ทูเพียร์ ช่วยลดปัญหาคอขวด และประหยัดเวลาได้มากขึ้น ส่งผลให้บทบาทของผู้จัดการในแบบเดิม ๆ ถูกถอดออกไปด้วยนั่นเอง

“บทบาทผู้จัดการในฐานะผู้บังคับบัญชาและผู้ควบคุมงานเป็นอุปสรรคสำคัญในยุคที่ธุรกิจเน้นความคล่องตัวที่ต้องการความเป็นอิสระและการทำงานเป็นทีม เช่น ร่วมวางแผน จัดลำดับความสำคัญของงาน และการทำงานอย่างมีระบบยังต้องมีอยู่ แต่จำเป็นต้องแยก ‘การจัดการ’ ออกจากบทบาท ‘ผู้จัดการ’ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความคล่องตัวและการทำงานแบบไฮบริดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” แดริล พลัมเมอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าว

3. ข้อมูลสังเคราะห์จะมีบทบาทมากขึ้น

ภายในปี พ.ศ. 2568 ข้อมูลสังเคราะห์ (หรือ Synthetic Data) จะถูกนำมาใช้มากขึ้น เพื่อลดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และทำให้แบรนด์ไม่ต้องกังวลมากนักว่าจะละเมิดความเป็นส่วนตัว 

ข้อมูลสังเคราะห์คือข้อมูลที่สร้างโดยใช้เทคนิคปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลสังเคราะห์สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนข้อมูลจริง ทำให้ลดการรวบรวม ใช้ หรือแบ่งปันข้อมูลที่มีความอ่อนไหวลง สิ่งนี้จะเข้ามาตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการลดความเสี่ยงของการละเมิดความเป็นส่วนตัว

4. ระวังการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่

Shield Icon Cyber Security, Hi-Tech digital display holographic

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี พ.ศ. 2567 การโจมตีทางไซเบอร์อาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อโครงสร้างพื้นฐานได้ ซึ่งในอดีตประเทศต่าง ๆ มองว่าการโจมตีทางไซเบอร์นั้นเป็นอาชญากรรม ไม่ใช่การทำสงคราม อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียที่เกิดจากการโจมตีขนาดใหญ่เมื่อเร็ว ๆ นี้ พุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นรัฐบาลบางประเทศกำลังเตรียมการรับมือสงครามไซเบอร์ผ่านหน่วยป้องกันทางไซเบอร์เฉพาะกิจ

อีกไม่นานนี้ องค์กรธุรกิจจะต้องรับผิดชอบหลักในด้านการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามองค์กรเหล่านี้ยังไม่เคยเป็นด่านแรกที่ต่อต้านการทำสงครามนี้ ดังนั้นการโจมตีที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จะกระตุ้นให้กองทัพเข้ามามีส่วนรับมือ เพื่อขัดขวางการพุ่งเป้าหมายโจมตีไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

5. การออกแบบธุรกิจแบบแยกส่วนเป็นโมดูล

ภายในปี พ.ศ. 2567 ผู้บริหารไอที 80% จะเผยให้เห็นการออกแบบธุรกิจในแบบแยกส่วนเป็นโมดูล ผ่านหลักการออกแบบระบบที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ เป็นหนึ่งในเหตุผลหลัก 5 ประการ เพื่อเร่งประสิทธิภาพทางธุรกิจ

ผู้บริหารไอทีกำลังเปลี่ยนวิธีคิด มองความผันผวนคือโอกาส การทำธุรกิจแบบแยกส่วนหรือการออกแบบโมดูลใหม่กับสินทรัพย์ลดการพึ่งพาซึ่งกันและกันจะช่วยให้สามารถจัดองค์ประกอบใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และมีความปลอดภัย และยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับคลังเครื่องไม้เครื่องมือขององค์กรที่ช่วยให้ผู้บริหารไอทีสามารถควบคุมความเสี่ยงเพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงได้

6. แบรนด์จะเลิกให้ความสำคัญกับลูกค้าที่ไม่เหมาะกับธุรกิจ

Second Hand Fashion

Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand

ในปี พ.ศ. 2568 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 3 ใน 4 ของบริษัทต่าง ๆ จะ “เลิกให้ความสำคัญ” กับกลุ่มลูกค้าที่ไม่เหมาะกับธุรกิจ เนื่องจากต้นทุนการรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ลูกค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจ

องค์กรมักลบลูกค้าที่ไม่เข้ากับผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจออกไปจากกระบวนการขาย ซึ่งมีธุรกิจไม่กี่รายเท่านั้นที่บอกลาลูกค้าทันทีหลังจากที่พวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการแล้ว ทั้งนี้การรักษาลูกค้าที่ไม่เหมาะกับธุรกิจมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งในแง่ของเวลาที่ใช้เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เช่นเดียวกับต้นทุนค่าเสียโอกาส ความเสื่อมสภาพของแบรนด์ และการสูญเสียผลกำไรระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้

7. แอฟริกาจะกลายเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพโลก

ในปี พ.ศ. 2569 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าจะมีนักพัฒนาที่มีความสามารถทั่วทั้งแอฟริกาเพิ่มมากขึ้นถึง 30% โดยพวกเขาจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและกลายเป็นระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพของโลก และแข่งกับเอเชียเพื่อชิงการเติบโตของกองทุนจากนักลงทุน

การ์ทเนอร์มองว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้แอฟริกากลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมได้นั้นมาจากเงินทุนที่ถาโถมเข้าสู่แอฟริกาเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ความรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีของประเทศเคนยาจนได้ชื่อว่าเป็น “Silicon Savannah” ของแอฟริกาตะวันออก เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเป็นไปได้ว่า ในอีกสามปีข้างหน้า แอฟริกาจะมีนักพัฒนามืออาชีพเกือบ 900,000 คนทั่วแอฟริกา ผ่านช่องทางการศึกษานอกระบบที่เพิ่มขึ้น และอาจทำให้นักลงทุนทั่วโลกลดการลงทุนในจีนเพื่อหันมาสนับสนุนตลาดเกิดใหม่นี้

8. แบรนด์จะมีสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเอง

ภายในปี พ.ศ. 2567 การ์ทเนอร์คาดว่า 50% ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT – Non-Fungible Token) ที่สนับสนุนแบรนด์และ/หรือระบบนิเวศดิจิทัลของตน ซึ่ง NFTs จะกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังเพื่อใช้เสริมศักยภาพให้แก่ระบบนิเวศดิจิทัลและประเมินมูลค่าขององค์กรได้รวดเร็วขึ้น พร้อมกันนั้นยังคาดว่า ในปี พ.ศ. 2569 สินทรัพย์ดิจิทัล Non-Fungible Token (NFT) ที่ใช้กลยุทธ์ Gamification จะขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก

9. เน็ตดาวเทียมคือเน็ตที่จะเข้าถึงคนยากจน

ภายในปี พ.ศ. 2570 ดาวเทียมวงโคจรต่ำจะขยายความครอบคลุมของสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปยังประชากรที่ยากจนที่สุดในโลกอีกพันล้านคน ซึ่งการ์ทเนอร์บอกว่า จะช่วยให้ 50% ของคนเหล่านี้หลุดพ้นจากความยากจน

การใช้การเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมแบบ Backhaul ช่วยลดต้นทุนการติดตั้งและการดำเนินงานในการปรับใช้สถานีฐานเครือข่ายมือถือได้อย่างมาก ดาวเทียมยังสามารถส่งสัญญาณผ่านการเชื่อมต่อเกาะต่าง ๆ ตามที่ตั้งของลูกค้า โดยการแนะนำของกลุ่มดาวเทียม LEO (วงโคจรรอบโลกต่ำ) จะทำให้การขยายเครือข่ายสัญญาณมีความครอบคลุมไปยังพื้นที่ที่มีประชากรเบาบาง ประหยัดขึ้น

“การเชื่อมต่อมีส่วนร่วมสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองในระบบนิเวศที่เปิดกว้างขึ้น ซึ่งการเพิ่ม ‘ประชากรเน็ต’ ใหม่ ๆ อีกหลายพันล้านคนจะสร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออินเทอร์เน็ตในแง่ของวัฒนธรรมและเนื้อหา” พลัมเมอร์กล่าว

10. บริษัทด้านระบบประสาทจะพาเหรดขึ้นชาร์จ Fortune 20

การคาดการณ์ข้อสุดท้ายจากการ์ทเนอร์คือการบอกว่า ภายในปี พ.ศ. 2570 หนึ่งในสี่ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 20 จะถูกแทนที่โดยบริษัทด้านการตอบสนองของระบบประสาท

“ผู้บริหารส่วนใหญ่ยอมรับว่าทุกองค์กรเป็นบริษัทเทคโนโลยี บริษัทที่จะก้าวเป็นผู้ชนะเหนือคู่แข่งในทศวรรษหน้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของระบบสมองและการตอบสนองของระบบประสาท โดยใช้เทคโนโลยีที่มีความอัจฉริยะมาวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และเรียนรู้พฤติกรรมโน้มน้าวของมนุษย์”

“บทเรียนที่ได้รับจากการระบาดคราวนี้คือความคาดการณ์สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และเตรียมพร้อมเดินหน้าด้วยการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายไปพร้อม ๆ กัน ผู้นำที่มอบทางเลือกให้กับทีมงานเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรและวางแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที มีความยืดหยุ่นสูงจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“ความยืดหยุ่น โอกาสและความเสี่ยง ล้วนเป็นองค์ประกอบของการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ดี เพียงแต่เวลานี้ปัญหาเหล่านี้ต้องมีการตีความใหม่ ดังนั้นการคาดการณ์ในปีนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการสร้างความยืดหยุ่นด้วยวิธีที่ไม่ใช่รูปแบบเดิม ๆ ตั้งแต่ทักษะการทำงานไปจนถึงโมดูลทางธุรกิจ ขณะที่ต้องมองโอกาสและความเสี่ยงที่ต้องมีการตระหนักถึงความเร่งด่วนมากกว่าที่เคยเป็น” แดริล พลัมเมอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวปิดท้าย

Source “Gartner’s Top Strategic Predictions for 2022 and Beyond — Leveraging What We Have Learned.”


แชร์ :

You may also like