HomeBrand Move !!ช่อง 3 เลิกจ้างเพิ่มอีก สังเวยปิด 2 ช่องทีวีดิจิทัล

ช่อง 3 เลิกจ้างเพิ่มอีก สังเวยปิด 2 ช่องทีวีดิจิทัล

แชร์ :

ยังอยู่ระหว่างกระบวนการในการปรับโครงสร้างองค์รกอย่างต่อเนื่อง หลังจากเข้ามารับตำแหน่ง President คนแรกของ BEC WORLD สำหรับ คุณบี๋ อริยะ พนมยงค์ ​ หลังตัดสินใจคืนใบอนุญาตการบริหารช่องทีวีดิจิทัล 2 ช่อง อย่าง ช่อง 13 และ 28 เพื่อโฟกัสการแข่งขันที่คาดการณ์ว่าจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น หลัง Landscape ในทีวีดิจิทัลจะเกิดเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ​และจำเป็นต้องเร่งห้ามเลือดให้กับองค์กร และเร่งฟื้นฟูฐานทัพสำคัญอย่างช่อง 33 ให้กลับมาแข็งแรงเพื่อความพร้อมมากที่สุดสำหรับการแข่งขันอีกครั้ง

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ล่าสุด คุณบี๋ ทำเอกสารชี้แจงภายในถึงพนักงานเพื่ออัพเดทกระบวนการของการเริ่มต้นคืนช่อง 13 และ 28 ที่ได้จัดส่งเอกสารเพิ่มเติมให้กับทาง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช.​ เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอการอนุมัติ และจะทำการยุติการออกอากาศของทั้ง 2 ช่อง ในสิ้นเดือนกันยายน 2562 นี้

ขณะเดียวกันได้ชี้แจงถึงความจำเป็นที่จะต้องเลิกจ้างพนักงานบางส่วนลง เนื่องมาจากการต้องยุติการออกอากาศทั้ง 2 ช่อง ดังกล่าว พร้อมยืนยันถึงมาตรการในการบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดแก่พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ด้วยการจัดค่าชดเชยให้กับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างให้มากที่สุดเท่าที่จะจัดสรรได้ และสูงกว่าอัตราที่ทางกฎหมายแรงงานกำหนดไว้ 

โดยตามกระแสข่าวที่แพร่สะพัดในโลกออนไลน์ มีการคาดการณ์ถึงจำนวนพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างจากการยุติการออกอากาศทั้ง 2 ช่อง ในสิ้นเดือนกันยายนนี้ราว 200 คน โดยเฉพาะในฝ่ายข่าวทั้งระดับพนักงานหรือผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งการจัดสรร เกลี่ยบุคลากรในแต่ละส่วนงานอย่างเหมาะสมจากการปรับโครงสร้างภายในในระหว่างนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ เคยมีการปรับโครงสร้าพนักงานในองค์กรในปีที่ผ่านมาไปแล้ว 2 ครั้ง ในช่วงกลางปี และปลายปี 2561

ทั้งนี้ เนื้อความใน “สารจากกรรมการผู้อำนวยการ” เพื่อชี้แจงต่อกรณีดังกล่าว ที่ทางคุณบี๋ ชี้แจงเป็นการภายในกับพนักงาน ระบุไว้ดังนี้

สารจากกรรมการผู้อำนวยการ

ถึงเพื่อนพนักงาน

ผมขอแจ้งให้เพื่อนพนักงานทราบว่าบริษัทฯ ได้จัดส่งเอกสารเพิ่มเติมให้กับทางกสทช.สำหรับกรณีการขอคืนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ของช่อง 13 และช่อง 28 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ทางคณะกรรมการ กสทช.จะใช้เวลาพิจารณาเพื่ออนุมัติให้ยุติการออกอากาศต่อไป โดยทางบีอีซีมีแผนที่จะยุติการออกอากาศในสิ้นเดือนกันยายน 2562

เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงเวลานี้ ธุรกิจทีวีไม่ได้เติบโตและรุ่งเรื่องเหมือนที่เคย และยังได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามเทคโนโลยี (Digital Disruption) ทำให้บีอีซีมีความจำเป็นต้องตัดสินใจคืนใบอนุญาต และการคืนใบอนุญาตทั้ง 2 ช่อง เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดของคณะกรรมการและผู้บริหาร เพราะการคืนใบอนุญาตจะส่งผลกระทบมากมายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหลายส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อเพื่อพนักงาน ตามที่ผมได้กล่าวไว้กับเพื่อนพนักงานจากการพบกันที่การประชุม Townhall ที่ผ่านมาว่า เราจะมุ่งการทำงานที่ช่อง 33 เป็นหลักเพื่อทำให้บีอีซีกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง และการคืนใบอนุญาตทั้ง 2 ช่องจะสามารถทำให้สถานะทางการเงินขององค์กรดีขึ้น

ผมและทีมผู้บริหารได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ผลกระทบต่อพนักงานมีน้อยที่สุด แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงเกิดผลกระทบจากการที่ต้องเลิกจ้างพนักงานบางส่วน อันเนื่องมาจากการยุติการออกอากาศของช่อง 13 และช่อง 28 การเลิกจ้างเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย แต่เป็นความจำเป็นหลังจากที่เรามีจำนวนช่องที่น้อยลง โดยได้จัดให้มีค่าชดเชยสำหรับพนักงานในกรณีที่ต้องถูกเลิกจ้างให้มากที่สุดเท่าที่จะจัดสรรได้ และค่าชดเชยที่พนักงานจะได้รับจะดีกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้อย่างแน่นอน สำหรับพนักงานที่ยังคงทำงานต่อไป ผมขอขอบคุณและอยากบอกว่านี่เป็นการเริ่มต้นทำงานในวิถีใหม่ การทำงานในยุคที่ทีวีจะมีความยากมากขึ้นไปเรื่อยๆพวกเราจำเป็นต้องใช้ความรู้และความสามารถเพื่อผู้ชมของเราทั้งทางโทรทัศน์และช่องทางออนไลน์ โดยความสำเร็จของพวกเราจะมาจากพื้นฐานความเข้าใจอย่างแท้จริงต่อความต้องการของผู้ชมในปัจจุบัน

ผมมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกินความสามารถของพวกเรา บีอีซียังคงเป็นผู้นำในธุรกิจของ Content Provider และจะยังคงเป็นต่อไปโดยเรายังมีช่อง 33 และช่องทางออนไลน์ที่จะนำพาบีอีซีให้เติบโต เพื่อนพนักงานคงเคยได้ยินที่ผมได้กล่าวไว้ในสื่อไปก่อนหน้านี้ว่า บีอีซีมีทรัพยากรที่มีคุณค่าคือ “กลุ่มคนทำงาน” ซึ่งได้แก่ นักแสดงที่มีชื่อเสียง ผู้ผลิตคุณภาพ และพนักงานที่มีความสามารถ โดยเฉพาะพนักงานของบีอีซีเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถและประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจและจะเป็นผู้ที่นำความสำเร็จกลับมาให้กับบีอีซีอีกครั้งหนึ่ง

ผมไม่สามารถทำงานคนเดียวโดยไม่มีการสนับสนุนจากเพื่อนพนักงานได้ ผมจึงอยากขอให้เพื่อนพนักงานร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง พวกเราจะไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนา แล้วเราจะเอาชนะทุกอุปสรรคได้ ขอให้พวกเรามาร่วมกันทำให้เกิดความสำเร็จครั้งนี้ จากนี้ไปคงมีคนภายนอกถามเพื่อนพนักงานว่าบีอีซีจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมเชื่อว่าคำตอบของเพื่อนพนักงานจะตอบกับพวกเขาได้ คือสิ่งที่ผมกล่าวมา เราจะช่วยกันสร้างความมั่นใจของพวกเขาที่มีต่อบีอีซีและช่อง 3 ให้ดีมากขึ้นครับ

สุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณเพื่อนพนักงานทุกคนสำหรับการทำงานหนักที่ผ่านมา และหากเพื่อนพนักงานมีความคิดเห็นที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบีอีซีก็สามารถแจ้งมาที่ผมได้ตลอดเวลาครับ

ขอขอบคุณเพื่อนพนักงานทุกท่านอีกครั้ง

อริยะ พนมยงค์

กรรมการผู้อำนวยการ, บมจ. บีอีซีเวิลด์ 

ก่อนหน้านี้ คุณบี๋ เคยให้เหตุผลในการคืนใบอนุญาต 2 ช่องทีวีดิจิทัล ไว้ด้วยเป้าหมายสำคัญ คือ การทำให้ช่อง 3 (ช่อง 33) กลับมาแข็งแรงมากขึ้น และ Rethink การทำงานด้วยการวางกลยุทธ์ และเพิ่ม​ Business Model ในการหารายได้จากช่องทางใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เพราะไม่เพียงแค่ช่อง 3 แต่ทุกรายที่ยังยืนหยัดที่จะสู้ต่อในธุรกิจนี้ จะแข็งแรงขึ้นจากการคืนช่อง และได้รับการเยียวยา ทำให้เกมในสนามนี้จะยิ่งดุเดือด การมาโฟกัสที่ฐานกำลังสำคัญอย่างช่อง 3 จึงเป็นทางสำคัญที่จะทำให้องค์กรแข็งแรง ที่ไม่ใช่แค่ในระยะสั้นเฉพาะหน้านี้เท่านั้น แต่ต้องพร้อมสำหรับเกมรบที่จะยาวไปเป็นสิบปี

ตามที่คุณบี๋ เคยกล่าวไว้ว่าการที่เราเลือกคืน 2 ช่อง คือ การที่เรากล้บมาเน้นในช่องหลักของเราและทำให้ช่อง 33 มีความเข้มแข็ง การที่เราคืน 2 ช่องไม่ได้แปลว่าเราไม่สนใจธุรกิจนี้ หรือว่ายอมแพ้แล้ว แต่เป็นการบอกว่าเราจะ Refocus ช่อง 33

รวมทั้งเป้าหมายสำคัญในการเพิ่มท่อน้ำเลี้ยงใหม่ๆ ด้วยการสร้างขาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเสริมในธุรกิจให้มากขึ้น เพื่อกลับไปเป็นผู้นำในธุรกิจได้เหมือนในวันวาน  พร้อมตั้งเป้าหมายระยะสั้นเอาไว้คือ การมองเห็นเทรนด์ที่ดีที่จะเกิดขึ้นในองค์กรได้ ตั้งแต่ในช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งคำว่าเทรนด์ที่ดีหมายถึงแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้นของธุรกิจโดยรวมนั่นเอง 

“วันนี้ผมอยากเป็นที่ 1 แต่ผมไม่ได้หมายความว่าผมอยากเป็นเบอร์ 1 ในโลกทีวีเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเรายังฝังวิธีคิดอยู่ว่าจะเป็นเบอร์ 1 เบอร์ 2 เท่ากับว่า ความคิดเราอยู่แค่ที่โลกของทีวี ซึ่งที่ผ่านมาเราอาจจะมองในแค่มุมนี้ และเป็นมาหลายสิบปี ซึ่งถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนมิติในการมองโดยเป้าหมายใหม่ของเราคือ ต้องไปได้ไกลมากกว่านั้น เราต้องไปเหนือกว่าแค่โลกของทีวี​ อนาคตเราจะไม่ได้อยู่แค่ทีวี เพราะธุรกิจและหัวใจหลักของเราคือ Content & Entertainment นี่คือส่ิงที่เราจะต้องเข้มแข็ง โดยท่ีทีวีจะเป็นเพียงอีกหนึ่งช่องทางหนึ่ง​จากทั้ง Media Ecosystem ทั้งหมดที่เรามีอยู่


แชร์ :

You may also like