หลังจากนายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก และจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงาม ภายใต้แบรนด์ บิวตี้ บุฟเฟต์ (BEAUTY BUFFET) บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) และบิวตี้ มาร์เก็ต (BEAUTY MARKET) แถลงข่าวเมื่อช่วงวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ อาจจะไม่เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงมีกระแสข่าวลือสารพัดเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท ส่งผลให้หุ้นของบิวตี้ก็ดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง จนมีบางวันเห็นราคาไปติด Floor เลยทีเดียว ซึ่งสถิติราคาต่ำสุดของหุ้นบิวตี้คือ 6.45 บาท
แม้ว่า “หมอสุวิน” จะออกมาให้ข่าวใหม่ พร้อมยืนยันว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะทำตลาดและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขออนุมัติที่ประชุมคณะกรรมการ ว่าจะทำการซื้อหุ้นกลับคืนในวงเงินไม่เกิน 950 ล้านบาท หรือไม่เกิน 64 ล้านหุ้น ก็ดูเหมือนว่าจะเรียกความเชื่อมั่นในกลุ่มนักลงทุนกลับมาได้บ้าง แต่ยังไม่มากพอที่จะทำให้ราคากลับมาสูงเป็นปกติ เพราะดูจากราคาหุ้นของบิวตี้ไม่ได้กลับไปอยู่ในจุดที่เคยสูง ก่อนหน้าวันที่หมอสุวินออกมาให้ข่าว คือ วันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ที่มีราคาปิดอยู่ที่ 13 บาท ซึ่งราคา ณ ช่วงเช้าของวันที่ 16 กรกฎาคม 2561 ยังอยู่ในกรอบราคา 7.70-8.05 บาทเท่านั้น ซึ่งในอดีตหุ้นของบิวตี้เคยพุ่งสูงไปถึง 23.70 บาทให้เห็นมาแล้ว
แต่จะว่าไปแล้วตลาดหุ้นบ้านเรา คงไม่สามารถมองประเด็นอะไรได้เพียงประเด็นเดียว เพราะการเล่นหุ้นมีอะไรที่สลับซับซ้อนกว่าการดำเนินธุรกิจปกติ เห็นได้จากหลายบริษัทที่พื้นฐานดี ผลประกอบการดี แต่ราคาก็ไม่ไปไหน บางบริษัทผลการดำเนินงานหรือการดำเนินธุรกิจไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ราคาก็ไปไกลเกินกว่าราคาพื้นฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งกรณีหุ้นบิวตี้ก็คงเป็นเรื่องภายในตลาดทุนบ้านเราไป แต่ในเชิงการดำเนินธุรกิจผู้บริหารก็ยังออกมายืนยันว่ายังคงไปตามแผนที่ได้วางไว้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือปรับแผนแต่อย่างใด ซึ่งยังคงมีเป้าหมายสำคัญของการสร้างแบรนด์ “บิวตี้ บุฟเฟ่ต์” ให้เป็นแบรนด์ระดับภูมิภาค ตามแผน 5 ปี หรือ ภายในปี 2020 กับเป้าหมายยอดขาย 7,000 ล้านบาท และภายในปี 2022 จะมียอดขายถึง 10,000 ล้านบาท
ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ยังคงดำเนินธุรกิจไปสู่เป้าหมายการเป็นแบรนด์ระดับรีจินัล ภายในปี 2020 ตามแผนที่ได้วางไว้ ซึ่งการไปสู่เป้าหมายดังกล่าว บริษัทจะต้องมีกลยุทธ์และวิธีการทำตลาดที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และจะใช้การตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ต่างจากอดีตที่ใช้การขายเป็นสิ่งที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัท พร้อมกับมีตัวขับเคลื่อนธุรกิจตัวที่ 6 คือ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ มาเป็นตัวสร้างการเติบโต จากเดิมที่มี 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.แบรนด์บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ 2. บิวตี้ คอทเทจ 3.บิวตี้ มาร์เก็ต 4.สินค้าคอนซูเมอร์ และ 5.ตลาดต่างประเทศ ซึ่งนับจากนี้บริษัทจะทำตลาดเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการเป็นรีจินัลแบรนด์
1.การขยายช่องทางจัดจำหน่ายเข้าสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น จากเดิมใช้ทฤษฎีการขยายธุรกิจด้วยช่องทาง Retail Shop แต่ปัจจุบันจากการที่ดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค จึงวางแนวทางการขยายธุรกิจในรูปแบบ O2O หรือ Online to Offline เช่น ขายผ่าน Cross-Border E-Commerce เพื่อรุกตลาดในประเทศจีนผ่านเว็บไซต์ 4 แพลตฟอร์ม คือ TMALL, KAOLA, VIP และ YUNJI เป็นต้น ขณะที่ร้านที่เป็น Retail Shop บริษัทยังคงขยายต่อเนื่อง แต่จะคัดเลือกทำเลที่ตั้งตามการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเป็นหลัก ต่างจากอดีตที่เลือกทุกสถานที่
2.ปรับโฉมร้านสู่ Lifestyle Shop ปัจจุบันบริษัทมีร้านจำหน่ายสินค้าที่ประกอบด้วย ร้านบิวตี้ บุฟเฟต์ 264 สาขา ร้านบิวตี้ คอทเทจ 80 สาขา และร้านบิวตี้ มาร์เก็ต 9 สาขา ซึ่งเดิมร้านต่างๆ เหล่านี้จะมีคอนเซ็ปต์เน้นเรื่องความหลากหลายของสินค้า (Variety) มีทุกอย่างให้ลูกค้าได้เลือกอย่างสนุกสนาน แต่ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ จะเริ่มทำการปรับคอนเซ็ปต์ร้านใหม่ ที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค อย่างเช่น บิวตี้ คอทเทจ จะเปลี่ยนเป็นคอนเซ็ปต์ Art Deco จากเดิมที่เป็นแนว Retro ที่มีสินค้าหลากหลาย ซึ่งจะเริ่มเปลี่ยนโฉมสาขา 20 สาขาแรก ใช้งบลงทุน 70-80 ล้านบาท
3.ปรับ Positioning ให้สินค้ามีความเป็นพรีเมียมมากขึ้น โดยการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์บิวตี้ คอทเทจ กับคอลเลคชั่น “Beauty Cottae LUXURY Series” ภายใต้แนวคิด Make Up till you drop จำนวน 14 รายการ ระดับราคา 300-550 บาท ซึ่งบริษัทจะพัฒนาสินค้าและสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้มีความเป็นพรีเมียมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“โจทย์ยากของธุรกิจวันนี้ คือ การคาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภค คนมี Emotional ในการซื้อสินค้ามากเกินไป ทำให้ไลฟ์สไตล์ของสินค้าสั้นลงแค่ 5 เดือนก็เปลี่ยนแปลงแล้ว จากอดีต 5 ปีกว่าจะเปลี่ยน ยิ่งตอนนี้ธุรกิจถูก Disruption ด้วยดิจิทัล คนหันไปช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัว ไม่ว่าที่ผ่านมาธุรกิจจะดีอย่างไร เราต้องเปลี่ยน โดยเฉพาะธุรกิจวงการแฟชั่น ซึ่งเดิมเราเป็นแบรนด์โลคัล ก็ต้องผลักดันตัวเองให้เป็นระดับรีจินัลแบรนด์ ซึ่งต้องใช้ Marketing Era และการสร้างภาพลักษณ์เป็นตัวขับเคลื่อน ต่างจากเมื่อก่อนที่เน้นการขายและเน้นฟังก์ชั่นเป็นหลัก โดยแผนของบริษัทได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้วและจะขับเคลื่อนต่อไป”
ส่วนภาพรวมในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะผลักดันยอดขายให้