HomeBrand Move !!Bata ทั้ง “เก๋า” ทั้ง “อึด” แต่โจทย์ใหญ่ตอนนี้ คือ ปั้นภาพ “โมเดิร์น” ให้ได้ ด้วยกลยุทธ์ต่อไปนี้…

Bata ทั้ง “เก๋า” ทั้ง “อึด” แต่โจทย์ใหญ่ตอนนี้ คือ ปั้นภาพ “โมเดิร์น” ให้ได้ ด้วยกลยุทธ์ต่อไปนี้…

แชร์ :

เกือบ 90 ปี ที่แบรนด์รองเท้า “บาจา” (Bata) เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เรียกได้ว่าสร้างแบรนด์ สร้างความผูกพันกับผู้บริโภคและตลาดรองเท้าในประเทศไทย จนทำให้หลายๆ คนคิดว่าแบรนด์บาจา เป็นหนึ่งใน Local  Brand หรือเป็นแบรนด์รองเท้าที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว บาจาเป็นแบรนด์รองเท้าจากยุโรป ที่ทำตลาดทั่วโลกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 120 ปี ทั้งในทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ขณะที่ในประเทศไทย แม้ Brand Awareness จะแข็งแรงมาก ทุกคนรู้จักแบรนด์ “บาจา” เป็นอย่างดี จากการทำตลาดมายาวนานเกือบศตวรรษ แต่ความโดดเด่นในฐานะ Player ของตลาดรองเท้าในประเทศไทยของแบรนด์บาจานั้น ต้องถือว่ายังไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควรนัก

โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ยังผูกติดกับความเป็นแบรนด์รองเท้านักเรียน และรองเท้าลำลองที่มีจุดเด่นเรื่องความสบายเท้าที่ทุกคนให้การยอมรับ แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของดีไซน์ที่ส่วนใหญ่ยังเป็นแนว Old Style ทำให้คนจะเข้ามาซื้อคู่ใหม่ก็ต่อเมื่อคู่เก่าพัง และส่วนใหญ่ก็จะเป็นการซื้อเพื่อทดแทนคู่เดิม และจะซื้อในแบบเดิมๆ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้มาร์เก็ตแชร์ของบาจาในตลาดรองเท้าประเทศไทยมีอยู่เพียง 3.5% จากมูลค่าตลาดเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือไม่ต่ำกว่า 73,000 ล้านบาทโดยประมาณ

ถึงเวลาผ่าตัดใหญ่ บาจา ไทยแลนด์   

หากมองถึงโอกาสและศักยภาพของตลาดในประเทศไทย ทาง Bata Global เชื่อมั่นว่าจะสามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทำให้ในปี 2561 นี้ กลายเป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับบาจา ประเทศไทย ทั้งการกลับมาทบทวนแนวทางในการสื่อสารการตลาดใหม่ รวมทั้งกลยุทธ์เกี่ยวกับ Brand Perception เพื่อให้ผู้บริโภคเปลี่ยนภาพจำแบรนด์บาจา จากแบรนด์รองเท้าที่ผู้บริโภคมองว่าเป็นเส้นขนานกับเรื่องของแฟชั่นและดีไซน์ มาสู่ภาพลักษณ์ใหม่ที่ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเลือก ระหว่างความนุ่มสบายเท้าในระหว่างสวมใส่ และความสวยงาม ทันสมัย ไม่เชย ภายใต้การนำทัพของ Country Manager คนใหม่ อย่าง คุณเปาโล แกรสซี ผู้ซึ่งเข้าไปพลิกฟื้นสถานการณ์ตลาดให้กับแบรนด์บาจามาแล้วในหลายๆ ประเทศ ทั้งในมาเลเซีย สิงคโปร์ และอิตาลี

คุณเปาโล มองข้อจำกัดของแบรนด์บาจาในประเทศไทย ที่แข็งแรงอยู่ในเฉพาะตลาดรองเท้านักเรียน แต่ก็ไม่ได้เป็นสัดส่วนที่ใหญ่นัก เพราะคิดเป็นสัดส่วนอยู่เพียง 4% จากรายได้รวมของทั้งบริษัท ประกอบกับฤดูกาลขายที่จะคึกคักเฉพาะช่วง Back to School หรือก่อนเปิดเทอมใหญ่เท่านั้น ซึ่งนั่นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้แบรนด์บาจาขึ้นมาเป็นหนึ่งใน Top Player ของตลาดได้

ขณะที่อีกหนึ่งจุดอ่อนของบาจา ประเทศไทย อยู่ที่เรื่องของการสื่อสารการตลาด ซึ่งอาจจะเน้นอยู่แค่การพูดถึง Core Value สำคัญ ในเรื่องของการเป็นแบรนด์รองเท้าที่สวมใส่สบาย ด้วยระดับราคาที่คุ้มค่าแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้การรับรู้ของผู้บริโภคยึดติดอยู่แค่ในมุมของฟังก์ชั่นเท่านั้น ดังนั้น หนึ่งใน Key Message ที่จะใช้ในการสื่อสารนอกเหนือจากเรื่องของ Product Benefit แล้ว ในปีนี้จะให้ความสำคัญกับคอนเซ็ปต์ Me & Comfortable With It. เพื่อให้ภาพของบาจาเป็นแบรนด์ที่มีความ Comfortable With Style สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทั้งเรื่องของความสบายเท้าและความสวยงาม ทันสมัย ได้ถูกสื่อสารออกไปในวงกว้าง

“ในประเทศไทย Awareness ของแบรนด์บาจาแข็งแรงมาก แต่หากถามต่อว่าคุณเข้าช็อปบาจาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ จะทำให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ได้ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันมีผู้บริโภคบางกลุ่มที่เมื่อเข้าไปแล้วจะรู้สึกประหลาดใจ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าบาจามีรองเท้าหลายๆ สไตล์ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องสื่อสารออกไปให้มากที่สุด เพื่อให้คนเข้ามาช็อปบ่อยครั้งมากขึ้น และมาเมื่อมีความรู้สึกอยากช้อปปิ้ง ไม่ใช่มาเมื่อจำเป็นต้องมาเพราะรองเท้าคู่เก่าพังเท่านั้น ทำให้มีโอกาสส้รางยอดขายได้มากขึ้น จากการเพิ่มความถี่ของผู้บริโภคในการเข้ามาที่ร้านได้มากขึ้นด้วย”

Store Experience อีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์

นอกจากเร่งเครื่องเรื่องของ Marketing Communication แล้ว การสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อแบรนด์เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่บาจา ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในช็อปบาจาซึ่งเป็น Brand Touchpoint หลัก และถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่จะสามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดประทับใจและกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น

องค์ประกอบต่างๆ ภายในสโตร์ทั้งความหลากหลายของสินค้า และการบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน จึงเป็นสิ่งที่บาจาจะให้ความสำคัญและโฟกัสให้มากขึ้น

สำหรับในมุมของสินค้า จะมีสินค้าหลากหลาย เพื่อรองรับทั้งกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ให้ความสำคัญกับรองเท้าที่สวมใส่สบาย และชื่นชอบสไตล์เรียบๆ แบบเดิมๆ ซึ่งยังต้องรักษาไว้ ขณะเดียวกันจะเพิ่มสินค้าในกลุ่ม Fashion & Design ต่างๆ เข้ามามากขึ้น ทั้งที่เป็นแบรนด์ของบาจา และแบรนด์อื่นๆ ที่นำเข้ามาจำหน่ายภายในร้าน รวมทั้งคอลเล็กชั้นพิเศษที่เป็นการ Collaborated ระหว่างบาจาและแบรนด์อื่น เช่น ALDA, Star War หรือการนำแบรนด์ที่เคยได้รับความนิยมกลับมาทำตลาดอีกครั้ง

ในมุมของพนักงานขาย จะเน้นการฝึกอบรมทักษะการขายที่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อให้พนักงานขายมีบทบาทไม่ต่างจากการเป็น Personal Shopper ที่สามารถให้คำแนะนำรองเท้าที่เหมาะสมกับลูกค้าได้มากขึ้น หรือให้คอมเมนท์ต่างๆ แก่ลูกค้าได้มากกว่าแค่การรอรับออเดอร์จากลูกค้า หรือรอขายเพียงอย่างเดียว

รูปแบบของสโตร์ที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย โดยวางเป้าหมายเบื้องต้นในการขยายสาขาใหม่ในปีนี้อยู่ที่ 13-15 สาขา จากปัจจุบันมี 25 สาขา ซึ่งมีแผนจะรีโนเวทในบางสาขาให้เป็นภาพลักษณ์ใหม่ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในแต่ละโลเคชัน ทั้งที่เป็น City Store ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายในเมือง คนทำงาน รวมทั้งรูปแบบ Family Store สำหรับกลุ่มครอบครัว ที่พื้นที่ตามชานเมือง รวมทั้งการปรับปรุงแฟลกชิพสโตร์เพื่อเป็นร้านต้นแบบสำหรับการมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าอย่างครบถ้วน ที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์

ขณะที่เป้าหมายการเติบโตของบาจาประเทศไทยในปีนี้ ตั้งเป้าการเติบโตโดยรวมมากกว่า 10% ขณะที่ทิศทางในอนาคตจะเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่ดูแลอยู่ให้หลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันสินค้าที่บาจาทำตลาดอยู่ 90% จะเป็นแบรนด์บาจา ขณะที่ 10% ที่เหลือจะเป็นแบรนด์อื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้จะพยายามขยายสัดส่วนให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

สำหรับกำลังผลิตรองเท้าบาจาของประเทศไทยในปัจจุบัน มีกำลังผลิตรวม 8 แสนคู่ โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งใช้ในการผลิตรองเท้านักเรียนที่ 4.5 แสนคู่ ขณะที่ช่องทางในการขายโดยรวมในปัจจุบันมีช่องทางร้านค้าปลีก 57 แห่ง บาจาช็อป 25 แห่ง และมีเอเยนต์ค้าส่งทั่วประเทศรวม 346 แห่ง


แชร์ :

You may also like