HomeFeaturedเจาะลึกแผนการใหญ่ ทำไม “แสนสิริ” ทุ่ม 2.8 พันล้าน จับมือ 6 พันธมิตรแบรนด์ดังระดับโลกเสริมทัพ

เจาะลึกแผนการใหญ่ ทำไม “แสนสิริ” ทุ่ม 2.8 พันล้าน จับมือ 6 พันธมิตรแบรนด์ดังระดับโลกเสริมทัพ

แชร์ :

กลายเป็นข่าวฮือฮาในวงการอสังหาริทรัพย์ เมื่อ “แสนสิริ” ทุ่ม 80 ล้านดอลล่าร์ ใน 6 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก  ซึ่งเซอร์ไพร์สจริง เพราะเป็นความกล้าหาญที่แสนสิิริเสริมอาณาจักรของตัวเอง ด้วยการร่วมมือกับธุรกิจอื่น ด้วยการซื้อกิจการหลากหลายเงื่อนไข บ้างก็เป็นการร่วมทุน บ้างก็เข้าถือหุ้น โดยรวมแล้วใช้เงินกว่า 80 ล้านดอลลาร์ หรือ 2,800 ล้านบาท และนี่คือ 3 เหตุผลที่แสนสิริต้องก้าวเดินด้วยวิถีทางนี้ รวมทั้งลงรายละเอียดว่าทั้ง 6 พันธมิตรหน้าใหม่ของแสนสิริเป็นใครกันบ้าง

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เผยโฉม 6 พันธมิตร จับเทรนด์และเทคโนโลยีมาเป็นบริการ

สำหรับพาร์ทเนอร์ทั้ง 6 รายของแสนสิริ ประกอบด้วย

Standard International แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทลซึ่งพลิกโฉมหน้าวงการโรงแรมระดับไฮเอนด์แบบใหม่ไปสู่อีกรูปแบบ เน้นการนำเสนอ “ประสบการณ์” ให้กับผู้เข้าพัก สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ทำให้สัดส่วนรายได้ของโรงแรมที่บริหารโดย The Standard 50% มาจากบริการนอกห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นการจัดปาร์ตี้ หรือของที่ระลึกสุดพิเศษจากศิลปิน ซึ่งถือว่าแปลกกว่าโมเดลโรงแรมที่คุ้นเคยกันเลยทีเดียว

และภายในงานเปิดตัว Everyday Visionaries ที่เกิดขึ้นนี้ The Standard ก็ได้ยกเอาประสบการณ์ในการดูแลลูกค้ามาเสิร์ฟให้กับแขกผู้ร่วมงานได้ลิ้มรสเครื่องดื่มที่เป็นสูตรพิเศษของงานนี้

One Night แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากคนที่ทำงานด้านโรงแรมโดยตรงทำให้เข้าใจถึงการทำงานของโรงแรมได้ดีกว่า ที่ผ่านมีส่วนในการปฎิวัติวิธีการจองภายในวันเข้าพักในโรงแรมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั่วโลกให้เลือก ในมุมของผู้บริโภค one Night จะคัดสรรเอาห้องพักที่ดีที่สุดในราคาที่ดีที่สุดมาให้เลือกสรร ทางด้านผู้ประกอบการห้องพัก สิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง และแสนสิริก็ได้ประโยชน์จากประเด็นนี้ไปด้วยก็คือ “Data” คำศัพท์ยอดฮิตในยุค Technology Disruptive ซึ่งข้อมูลนี่เองที่ช่วยให้ผู้ประกอบการนำเอาฟีดแบ็กไปออกแบบประสบการณ์การเข้าพักให้กับแขกได้ รวมทั้งมีส่วนช่วยเพิ่ม destination Value ให้กับจุดหมายปลายทาง ร้านค้าโดยรอบ

คุณจิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร One Night เล่าเรื่องสนุกๆ ของอินไซต์ผู้จองโรงแรมที่เขาได้ข้อมูลมาว่า “ปัจจุบันนี้ลูกค้าต้องการฟรี ไวไฟ มากกว่าน้ำดื่มในห้องซะอีก จากผลสำรวจของเราพบว่า ไวไฟ กลายเป็นสิ่งที่ผู้เข้าพักต้องการ โดยที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ที่พักต้องนำเสนอให้ฟรี เช่นเดียวกับไฟฟ้า, น้ำที่ใช้ในห้อง นอกจากนี้ข้อมูลที่เราได้พบว่า การที่เจ้าของห้องวาง Welcome Snack หรือขนมเล็กๆ น้อยๆ ซองชา ซองกาแฟ ให้กับผู้เข้าพัก ก็ช่วยให้เกิดความประทับใจได้ บางครั้งนักเดินทางก็เดินทางมาไกล กว่าจะมาถึงห้องก็อาจจะดึก พวกเขาไม่สามารถออกหาอะไรกิน หรือเหนื่อยเกินกว่าจะออกไป ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งให้กับผู้ประกอบการ เพื่อที่พวกเขาจะได้สร้างความประทับใจได้มากขึ้น และแน่นอน เรามีข้อมูลของคนเดินทางทั่วโลก ว่าโปร์ไฟล์ของคนแบบไหน ชอบจุดหมายปลายทางอย่างไร และที่พักที่เขาเลือกเป็นอย่างไร ซึ่งผมว่าน่าจะมีส่วนช่วยแสนสิริอย่างมาก ในการทำงานต่อไป”

Hostmaker บริษัทผู้บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดอนให้ Airbnb ซึ่งช่วยให้ธุรกิจ Sharing Economy เป็นไปได้ง่ายขึ้น ความเชี่ยวชาญของ Hostmaker คือช่วยออกแบบห้องพักทำให้มอบประสบการณ์ที่ดีกว่า และสิ่งที่ตามมาก็คือ “รายได้” ที่ผ่านมาเคยช่วยอัพราคาให้กับห้องพักได้ถึง 4 เท่า

JustCo ถ้าจะให้พูดถึงประเทศที่จัดสรรพื้นที่ได้ดีละก็ต้องยกให้กับประเทศเล็กๆ อย่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์ JustCo คือบทพิสูน์หนึ่งของคำพูดนี้ เพราะ JustCo เป็นผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้ง สเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีต้นกำเนิดมาจากสิงคโปร์เช่นกัน

คุณคง วัน ซิง ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง ฉายภาพให้เราเห็นว่าในความเป็นจริงของออฟฟิศรุ่นใหม่สมัยนี้ มักมีคนที่เดินทางออกนอกออฟฟิศ เพื่อติดต่องานข้างนอก หรือได้รับมอบหมายให้ทำงานข้างนอก จนทำให้ออฟฟิศมีพื้นที่ว่าง 20% ในแต่ละวัน ซึ่งนี่เป็นการสูญเสียพื้นที่โดยใช่เหตุ ขณะเดียวกัน การทำงานของคนยุคใหม่ ต้องการ Collaboration ทั้งภายในออฟฟิศและหน่วยงานภายนอก ดังนั้นการมีออฟฟิศแบบเดิมอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไปแล้ว และเทรนด์ที่เติบโตไปในทิศทางนี้นี่เองก็เป็น Potential ที่น่าสนใจในธุรกิจนี้ JustCo จึงพร้อมนำเอาศักยภาพด้านการจัดการพื้นที่ให้เกิด Co-Working Space หลากหลายรูปแบบ และทำประโยชน์ได้สูงสุด รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน มาเปิดที่ประเทศไทย ภายใต้ร่วมเงาของแสนสิริ

Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย โดยอาศัยการปลูกแบบไฮดรอโปนิค ใช้นำเป็นองค์ประกอบสำคัญ ทำให้ผู้ปลูกจัดสรรพื้นที่ได้ง่าย แถมมีผักปลอกสารพิษไว้กินเอง หรือถ้าหากว่าไม่สะดวกปลูก ทาง Farmshelf ก็บริการส่งผักที่การันตีได้ว่าคลีน ส่งตรงถึงจานคุณ

ท่ามกลางสภาพการเปลี่ยนแปลงของระบบอาหารโลก FoodTech เป็นบริษัททางเลือกที่เกิดขึ้นมาใหม่ แล้วมุ่งตอบสนองปัญหานี้ เมื่อมาจับมือกับแสนสิริ แค่รู้เราก็ยิ้มได้แล้วกับกิมมิคน่ารักๆ แต่สำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตในอนาคต ยิ่งเห็นตัวอย่างฟาร์มที่มาอยู่ในห้องต่างๆ แล้วรู้ได้ทันทีว่า Farmshelf จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับพื้นที่สีเขียวในโครงการของแสนสิริได้อย่างมากเลยทีเดียว

Monocle แบรนด์สื่อที่ครองใจเด็กแนวหัวนอก อันทรงอิทธิพลระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการ ถ้าหากว่าเรื่องเทรนด์ทั้งการใช้ชีวิต สังคม ดีไซน์สินค้า ไปจนถึงสถาปัตยกรรม ต้องยกให้กับสื่อเจ้านี้ และล่าสุด คุณไทเลอร์ บรูเล่ บรรณาธิการใหญ่และประธานบริษัท Monocle บอกว่าเขาให้ความสำคัญกับการออกแบบ “เมือง” เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ดีขึ้น

“ไม่ว่าเราจะพูดกันถึงเรื่อง disrupt อะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เป็นพื้นฐานและเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอยู่เสมอก็คือ ของที่ใช่ ของที่มีคุณภาพ และมันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมองหาและหยิบมานำเสนอ”

จากความมุ่งมั่นนี่เองที่ตรงกับวิสัยทัศน์ของแสนสิริ จนกลายเป็นโปรเจ็กท์ใหญ่ ซึ่งเซอร์ไพร์สแฟนผู้อ่าน Monocle เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเจ้าพ่อสื่อเทรนดี้รายนี้จะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-use ซึ่ง Monocle มีส่วนในการออกแบบตั้งแต่ต้น หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับการเสาะสินค้าวางวางจำหน่ายในพื้นที่ร้านรีเทลของตัวเอง จนกลายเป็นร้านที่ยอดขายเมื่อหารเฉลี่ยกับพื้นที่แล้ว คุ้มค่าที่สุดในลอนดอน เมื่อเทียบตารางนิ้วต่อตารางนิ้วอืมหืม…..มมม โปรเจ็กท์ใหญ่แบบนี้ แค่จินตนาการก็อยากเห็นหน้าตาของโครงการแล้วจริงๆ

3 เหตุผล สู่มูฟเมนต์สำคัญของ “แสนสิริ”

สาเหตุที่แสนสิริ เดินหน้าเข้าไปมีส่วนในธุรกิจทั้ง 6 แพล็ตฟอร์มนี้ ก็เพราะ 3 องค์ประกอบสำคัญ

1. ต้องการยกระดับแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค ถ้าหากว่าติดตามการเสวนา หรือว่าตามทวิตเตอร์ @Thavisin ที่คุณเศรษฐา ทวิสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะพบว่าเขามีความเข้าใจในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของ “คนรุ่นใหม่” ซึ่งให้ “คุณค่า” กับความหรูหราหรือการใช้ชีวิตที่ต่างออกไป คนรุ่นใหม่มองหาความสะดวกสบาย เรื่องของสุขภาพ และมองการครอบครองสินทรัพย์แตกต่างออกไป การที่มีบริการอย่างเช่น Farmshelf ที่ช่วยส่งตรงผักปลอดสารพิษมาสู่จานของลูกบ้านแสนสิริ เป็นมุมมองที่เพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนรุ่นใหม่ หรือจะเป็นบริการของ Hostmaker และ One Night ที่เื้อกับเจ้าของบ้านพักตากอากาศของแสนสิริให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น

2.สร้างรายได้จากบริการใหม่ๆ นำพาบริการของพันธมิตร อย่างเช่น Just Co ซึ่งเชี่ยวชาญในการบริหาร Co-Working Space มาเปิดตัวในประเทศไทย โดยตั้งเป้า 4 แห่งภายในปีหน้า รวมทั้งนำพา Hostmaker เข้าสู่เอเชียให้กว้างขึ้น

3.ขยายรายได้นอกประเทศ ตลาดประเทศไทย GDPโตปีละ 2-4% ขณะที่อสังหาริมทรัพย์มีศักยภาพที่เติบโตได้เพียง 2 เท่า ซึ่งปัจจุบันแสนสิริมีรายได้ปีละ 40,000 ล้านบาทแล้ว การเติบโตจึงต้องอาศัยการเติบโตจากนอกประเทศ ทั้งที่หมายถึงการเติบโตจากลูกค้าต่างชาติที่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาแสนสิริได้ทำการเปิดออฟฟิศที่ ฮ่องกง, สิงคโปร์, ไต้หวัน ฯลฯ เพื่อทำ Marketing Activity เฉพาะให้เข้ากับตลาดในแต่ละประเทศ การจับมือกับแบรนด์เหล่านี้ทำให้ มี Data ข้อมูล และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคระดับโลกมากขึ้น และนำมาต่อยอด โดยตั้งเป้าว่าจะมียอดขายในตลาดต่างประเทศในปี 2560 ที่ 12,000 ล้านบาท และเติบโตจากช่องทางนี้ต่อไป

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เพิ่มกลยุทธ์ของการจับมือกับพันธมิตรของแสนสิริ รวมทั้งปีหน้า ก็ยังเดินหน้าเพิ่มบริการใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของสังคม เทคโนโลยี และจับกลุ่มเป้ามหายคนรุ่นใหม่จากทั่วโลกให้ได้มากขึ้น เพราะวันนี้ตลาดเมืองไทยเล็กเกินไปสำหรับบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง แสนสิริเสียแล้ว


แชร์ :

You may also like