HomeSponsoredผ่าทิศทางการลงทุนที่คุณต้องรู้ในปี 2560 ในงาน Krungsri Exclusive Economic and Investment Outlook 2017

ผ่าทิศทางการลงทุนที่คุณต้องรู้ในปี 2560 ในงาน Krungsri Exclusive Economic and Investment Outlook 2017

แชร์ :

(ซ้าย-ขวา) คุณศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด, คุณกนกวรรณ ศุภนันตฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความมั่งคั่งและลูกค้ากรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ, Mr.Todd Alan Staley, CFA Head of Private Banking, Southeast Asia, Senior Vice President, PIMCO, คุณโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (ประธานในงาน),Mr.Raja Mukherji, Head of Asian Credit Research, PIMCO, คุณแดน ฮาร์โซโน่ ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), และดร.สมประวิณ มันประเสริฐ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

การลงทุนในแต่ละปี นักลงทุนจะเผชิญ “โจทย์” รวมถึง “ปัจจัยบวก” และ “ปัจจัยเสี่ยง” ที่หลากหลายแตกต่างกันไป แต่จะดีแค่ไหน หากนักลงทุนจะมีคำแนะนำดีๆ จาก “กูรู” ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุนแถวหน้าของ “เมืองไทย” และ “ระดับโลก”

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ดังนั้น “กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ” ซึ่งเป็นผู้บริหารความมั่งคั่งให้กับนักลงทุน จึงเชิญบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านลงทุนทั้งจากไทยและทั่วโลก มาผ่าทิศทางการลงทุนปี 2560 ว่าจะเป็นอย่างไร พร้อมกับมอบ “สุดยอดคำแนะนำ” เป็นคัมภีร์ประกอบการตัดสินใจลงทุนในปีนี้ด้วย

Mr. Raja Mukherji, Head of Asian Credit Research, PIMCO

เริ่มต้นที่ Mr. Raja Mukherji, Head of Asian Credit Research, PIMCO ระบุว่า PIMCO คาดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2560 จะเติบโตต่อเนื่อง และจะช่วยถ่วงดุลกับสภาวะการลงทุนที่ยังไม่แน่นอนท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนจากนโยบายการเงินสู่นโยบายการคลัง การเปลี่ยนจากกระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) สู่กระแสโลกาภิวัฒน์
(De-globalization) และการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศจีน จะทำให้ปีนี้เห็นปรากฏการณ์สำคัญทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

“ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล”  ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มุมมองถึงแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2560 คาดการณ์ว่าจะเติบโตระดับ 3.5% ซึ่งเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 3.2% โดยเครื่องยนต์สำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้คือภาคส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากปลายปี 2559 เช่นเดียวกับภาคการเกษตรที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทย และนักลงทุนจากต่างประเทศก็ปรับตัวดีขึ้น  ประเทศไทย 4.0 ยังเป็นอีกปัจจัยที่จะผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตท่ามกลางโลกยุคใหม่ หรือ New Thailand โดยนโยบายรัฐบาลที่วางไว้ไม่ใช่แค่การมุ่งเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP เท่านั้น แต่เตรียมนำไทยไปสู่ประเทศที่เพียบพร้อมด้วยโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานรอบด้าน การเปิดประตูสู่ AEC และโครงการ EEC เพื่อดึงดูดความสนใจจากการนักลงทุนทั่วโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศ “เป็นสัญญาณที่ดูดีว่าไทยจะก้าวสู่ New Thailand ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ความหวังเหมือนกับหลาย 10 ปีที่ผ่านมา”

ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน)

“ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ” หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2560 ว่าจะขยายตัว 3.3% โดยมีแรงขับเคลื่อนจาก 4 เครื่องยนต์สำคัญ ได้แก่ 1. การบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวจากอานิสงค์ของรายได้ในภาคเกษตรมีแนวโน้มฟื้นตัว ภาระหนี้ครัวเรือนจากโครงการรถคันแรกทยอยสิ้นสุดลง จะเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคได้  2. รัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ช่วยปลุกความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน 3.ภาคส่งออกที่กลับมาขยายตัวได้เล็กน้อย และคาดว่าจะเติบโตได้ 1.8% และ 4. ภาคท่องเที่ยวจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะขยายตัว 8-10% ซึ่งจะทำรายได้เข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง

“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสมดุลและกระจายไปยังหลายภาคส่วนมากขึ้น ประกอบกับนโยบายการเงินจะยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำที่ 1.5% ต่อเนื่องทั้งปี จึงเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป”

ภาวะรายได้ทยอยฟื้นตัวในหลายภูมิภาคส่วน

 

แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการจะเริ่มก่อสร้างในปี 2560 หลังดำเนินการประกวดราคาแล้วเสร็จในปี 2559

 

    ดัชนีชี้วัดภาคอุตสาหกรรมของคู่ค้าหลักไทยกระเตื้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  การส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชีย เริ่มทยอยฟื้นตัวด้วยเช่นกัน

 

ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วภายหลังเหตุการณ์ไม่ปกติภายในประเทศ

 

คุณศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด

“ศิริพร สินาเจริญ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging markets ดังนั้นตลาดนี้จึงเนื้อหอมและเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ โดยเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ และเข้าไปยังตลาดหุ้นในเอเชีย บราซิล เม็กซิโก ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์สะท้อนสถานการณ์ความร้อนแรงของ Emerging Markets ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ตอกย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว จะส่งผลบวกในเชิงจิตวิทยาให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นด้วย

ส่วนตลาดหุ้นไทยถือว่าถูกที่สุดในกลุ่ม TIP (T-Thailand, I- Indonesia, P-Philippines) ทั้งในแง่ P/E และปันผล (Dividend yield) ที่สูงกว่า สมมุติว่าหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ตอนนี้อยู่ที่ 1,550 จุด แล้วตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นตามกำไรที่ 10% หุ้นไทยปีนี้ก็จะอยู่ที่ 1,700 จุด ที่ P/E ประมาณ 14 เท่า แต่ดัชนีคงไม่ไปถึง 1,700 จุดเร็วนัก

จากทิศทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น จึงคาดว่าจะมีหุ้นในหลายๆ กลุ่มจะได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มพาณิชย์  กลุ่มพลังงาน  กลุ่มอสังหาริมทรัพย์  กลุ่มวัสดุก่อสร้าง  กลุ่มธนาคาร

ในปีนี้ บลจ. กรุงศรี มองเป็นปีของสินทรัพย์เสี่ยง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับปานกลาง น่าจะลงทุนในหุ้นรวม 63% และตราสารหนี้ 37%

สำหรับตลาดหุ้นไทยให้น้ำหนักการลงทุน 33%  เพราะที่ผ่านมาผลตอบแทนดีเทียบตลาดหุ้นอื่นๆ ส่วนตลาดหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วน่าจะมีการลงทุนราว 20% แบ่งเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นยุโรป ขณะที่ตลาดหุ้น Emerging markets ควรมีการลงทุนราว 10%

สำหรับตราสารหนี้ จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเฟดมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย จึงเน้นกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ ขณะที่ตราสารหนี้ต่างประเทศควรเลือกกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีกลยุทธ์ยืดหยุ่น ส่วนทองคำ อาจมีการเก็งกำไรเป็นช่วงๆ จากข่าวความไม่แน่นอนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มค่อนข้างชัดเจนว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย และความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงน่าจะมีอยู่มากตามความคาดหวังต่อผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น การลงทุนในทองคำในปีนี้จึงควรมีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุน

สมญานาม วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมืองไทย และเป็นเซียนหุ้นวีไอ (นักลงทุนเน้นคุณค่า) “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” วิเคราะห์วิกฤติเศรษฐกิจไทยในอดีตเกิดขึ้นทุกๆ 10 ปี โดย black Monday เกิดขึ้นปี 2530 วิกฤติต้มยำกุ้งเกิดในปี 2540 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เกิดในปี 2550 และปีนี้คือปี 2560 ดังนั้นนักลงทุนควรเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ เพราะวิกฤติมักเกิดหลังจากที่เศรษฐกิจมีความร้อนแรงและเติบโตมากๆ “การถือเงินสดไว้บ้าง จะช่วยให้เราสามารถมีเงินเข้ามาลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นร่วงหรือปรับตัวลงหนักๆ แม้กระทั่งตอนเกิดวิกฤติ”

ตลาดหุ้นไทยยังสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง แต่นักลงทุนต้อง “คัดเลือกหุ้น” ที่จะเข้าไปลงทุนมากขึ้น โดยเน้นบริษัทที่พื้นฐานแข็งแกร่ง มีการเติบโตของรายได้ มีปันผลที่ดี และดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ซึ่งมองว่ากลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ราคายังไม่แพง P/E ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่กลุ่มบริษัทเล็ก P/E ค่อนข้างสูงมาก ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นๆ ที่หุ้นตัวเล็กจะ P/E ต่ำ เพราะนักลงทุนไม่ค่อยนิยมซื้อ ส่วน P/E หุ้นตัวใหญ่จะอยู่ในระดับสูง  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อตัดสินใจลงทุน คือการปรับตัวขึ้นลงของ “อัตราดอกเบี้ย” เพราะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยในไทยปรับขึ้นตามไปด้วย

นี่แค่ส่วนหนึ่งของการชี้แนะการลงทุน แต่กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ ยังมีทีมที่ปรึกษาการเงิน ที่พร้อมให้คำแนะนำการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและความเชี่ยวชาญ ที่จะนำคุณสู่อิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุน (ซ้าย), ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (กลาง), ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (ขวา)

ภาพบรรยากาศในงานสัมมนา Krungsri Exclusive Economic and Investment Outlook 2017

สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ ติดต่อ 0 2296 5566

 


แชร์ :

You may also like