Photo Credit : The Guardian (ICA/Nature & More)
แม้จะเป็นองค์ประกอบเล็กๆ แต่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่สิ่งแวดล้อม เมื่อซัพพลายเออร์ผักและผลไม้ “Nature & More” และซูเปอร์มาร์เก็ต “ICA” ในประเทศสวีเดน หันมาใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ ปั๊มโลโก้บนผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ แทนการใช้สติ๊กเกอร์พลาสติก เพื่อลดการใช้พลาสติก ลดปริมาณขยะ และลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
โดยขณะนี้เริ่มทดลองใช้กับสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างอะโวคาโด และมันฝรั่งหวาน ซึ่งเทคโนโลยีเลเซอร์นี้ ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารโดยเฉพาะ จึงไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษา อีกทั้งยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 1%
“เราคำนวณการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์กับปริมาณผลผลิตอะโวคาโดอินทรีย์ที่ขายใน 1 ปี พบว่าสามารถประหยัดการใช้พลาสติกที่นำมาทำสติ๊กเกอร์ตราสินค้า เทียบเป็นความยาวมากถึง 200 กิโลเมตร (135 ไมล์)” Peter Hagg ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจของ ICA กล่าว พร้อมทั้งคาดหวังว่าถ้าผู้บริโภคให้การตอบรับดี จะขยายการใช้เลเซอร์อาหารนี้กับผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ประเภทอื่นๆ โดยต่อไปจะเป็นผลไม้ที่กินได้ทั้งเปลือกอย่างแอปเปิ้ล และวางแผนใช้กับแตงโม ผลไม้ในช่วงฤดูร้อน
Photo Credit : Laser Food
ทางด้าน Stephane Merit ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท Laser Food ผู้คิดค้นเทคโนโลยีเลเซอร์สำหรับอาหาร ขยายความเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้ปริมาณการใช้สติ๊กเกอร์ตราสินค้าแปะบนผลผลิตผักและผลไม้มากมายนับล้านๆ ชิ้น แต่เราเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีเลเซอร์สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารนี้ จะช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ หรือแม้แต่พลาสติก หมึก และกาวในกระบวนการผลิต ก่อนจะส่งถึงมือผู้บริโภค
“เทคโนโลยีเครื่องเลเซอร์สำหรับอาหาร ต้องใช้เงินลงทุนสูงในช่วงแรก แต่เมื่อพิจารณาในระยะยาวแล้ว สามารถประหยัดต้นทุนได้ดีกว่าการใช้สติ๊กเกอร์ตราสินค้า เพราะฉะนั้นแม้เครื่องเลเซอร์จะมีราคาแพง แต่เราถือว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต และเชื่อว่าต่อไปผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ จะยอมรับเทคโนโลยีนี้กันมากขึ้น เพราะช่วยประหยัดทรัพยากร ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และพลังงาน” Michaël Wilde ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและเพื่อความยั่งยืนของ Nature & More กล่าวเสริม
ไม่เพียงแต่ซัพพลายเออร์ และซูเปอร์มาร์เก็ตในสวีเดนที่หันมาใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ปั๊มโลโก้บนผิวผักและผลไม้ ขณะเดียวกันซูเปอร์มาร์เก็ตในสหราชอาณาจักรบางราย เช่น M&S (Marks and Spencer) ทดลองใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเช่นกัน โดยขณะนี้เริ่มแล้วกับมะพร้าว และมีแผนจะขยายไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ
Photo Credit : The Guardian
ขณะเดียวกันเมื่อมองไปยังผู้ซื้อสินค้า พบว่าปัจจุบันยอดขายสินค้ากลุ่มออร์แกนิกมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าคนยุคนี้ ตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะอากาศ และการใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ หันมาพิจารณาเลือกซื้อสินค้าจากปัจจัยบรรจุภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด
“การทำธุรกิจต้องบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน” ทั้งกับผู้บริโภค และการดำเนินธุรกิจ โดยเราหวังว่าในอนาคตจะขยายการใช้เทคโนโลยีนี้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ออร์แกนิกด้วยเช่นกัน และหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายโดยผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่” Hagg สรุปทิ้งท้าย