เป็นเวลา 2 ปีแล้วที่ “GMM 25” วิ่งลงสู่สนามแข่งทีวีดิจิตอล ภายใต้การนำของ “สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม แชนแนล ดิจิทัล ทีวี บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล จำกัด ถึงวันนี้กลายเป็นช่องทีวีดิจิตอลที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง และมีฐานผู้ชมเหนียวแน่น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่
สะท้อนได้จากความสำเร็จทั้งด้าน Content ที่เกิดกระแส Talk of the town รวมถึงการเติบโตของฐานผู้ชม ผลล่าสุด (มกราคม – กรกฎาคม 2559) ในกลุ่มอายุ 15 – 34 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 5.65 ล้านคน ขณะที่กลุ่มผู้ชมอายุ 4+ ขึ้นไป อยู่ที่ 1.69 ล้านคน ทำให้เรตติ้งของช่อง “GMM 25” เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในกลุ่มคนดูอายุ 15 – 34 ปี ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 6 และได้การตอบรับจาก Advertiser แบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ช่อง “GMM 25” เดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ท่ามกลางความท้าทายมากมายของการทำธุรกิจทีวีดิจิตอล มาจาก “การสร้างความแตกต่าง” (Differentiation) ผนวกกับการสร้าง “ความสัมพันธ์” (Relationship Marketing) ระหว่างสถานี กับกลุ่มคนดู และสถานี กับสปอนเซอร์ ส่งผลให้กลายเป็นช่องที่ “โดดเด่น” จากบรรดาทีวีดิจิตอลที่มีกว่า 20 สถานี นำไปสู่การ “จดจำ” ในใจผู้บริโภค และเกิดการ “ติดตามชม” ต่อเนื่อง
มาดูกันว่า กลยุทธ์สร้างความแตกต่างของช่อง “GMM 25” มีอะไรกันบ้าง…
- โฟกัสกลุ่มคนรุ่นใหม่
“GMM 25” กำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ชมหลักชัดเจน มุ่งไปที่กลุ่มอายุ 15 – 34 ปีเป็นหลัก แตกต่างจากทีวีดิจิตอลช่องอื่น ที่มุ่งไปยัง Mass Target
“เรามองว่ากลุ่มผู้บริโภค 15 – 34 ปี เป็นกลุ่มที่ Active สูง ทั้งกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไลฟ์สไตล์ การจับจ่ายใช้สอย เป็นผู้นำทางความคิด และเป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตไปเป็นวัยผู้ใหญ่ ประกอบกับ GMM 25 ทำผลสำรวจและวิจัยไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ทั้งในเขตเมืองและรอบนอกเมือง เพื่อศึกษาไลฟ์สไตล์ และความต้องการของคนกลุ่มนี้” คุณสายทิพย์ เล่าเหตุผลที่โฟกัสผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักเปรียบเสมือน “เข็มทิศ” ที่ทำให้การดำเนินงานด้านต่างๆ มีความชัดเจน และเดินไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น “Content” องค์ประกอบสำคัญที่นำพาความสำเร็จมาให้กับช่อง “GMM 25” จึงต้องสร้างสรรค์และพัฒนาให้ตอบโจทย์ผู้ชมกลุ่มนี้อย่างแท้จริง
ความแข็งแกร่งด้าน “Content” ของ GMM 25 มาจากการผนึกกำลังกันระหว่างพันธมิตรผู้ผลิตในเครือ GMM Grammy ไม่ว่าจะเป็น GMM 25, GMM TV, GDH 559 และ GMM Bravo ที่แต่ละค่ายมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิต Content และมีสไตล์ของตนเองชัดเจน โดยปัจจุบัน Content ของช่องแบ่งเป็น 35 – 40% ละครและซีรีย์, 45% รายการวาไรตี้ และ 10 – 15% รายการข่าว
- “ละคร – ซีรีย์” Talk of the Town ทั่วเมือง !
เมื่อเอ่ยถึง “GMM 25” ผู้ชมส่วนใหญ่นึกถึง “ละครและซีรีย์” เป็น Content หลักที่สร้างชื่อเสียงให้กับสถานีนับตั้งแต่วันแรกที่ออกอากาศจนถึงวันนี้ โดยในช่วง Prime Time 20.00 น. ได้สร้างคอนเซ็ปต์ “ละครสนุก ความสุข 2 ทุ่ม” เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านละครและซีรีย์ของสถานี ที่นำเสนอให้กับผู้ชมทุกวัน ซึ่ง Flagship ละครและซีรีย์ที่สร้างความโดดเด่นให้กับ “GMM 25” คือ “Club Friday The Series” ที่ต่อยอดมาจากรายการ “Club Friday” ทางวิทยุ
“ด้วยความที่ตนเองทำสื่อวิทยุมาก่อน รูปแบบการตลาดของสื่อวิทยุ อย่างคลื่น Green Wave ปีนี้จะขึ้นปีที่ 26 แล้ว ความสำเร็จของ Green Wave คือ Relationship, Emotional และ White Marketing เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานีวิทยุ กับผู้ฟัง และสถานีวิทยุ กับสปอนเซอร์
ดังนั้นวันนี้ GMM 25 กำลังดึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความสำเร็จด้านการตลาดของสื่อวิทยุ มาเป็นแนวทาง
การตลาดของสื่อดิจิตอลทีวี และเชื่อว่าจะก่อให้เกิดความสำเร็จก้าวกระโดด อย่าง Content ละครและซีรีย์ ที่เราเริ่มต้นจาก “Club Friday The Series” เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เราต่อยอดมาจากวิทยุ ซึ่งความสำเร็จของ “Club Friday The Series” มาจากเรื่องจริง ที่มี Emotional เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดกระแส Talk of the town ผู้ชมวิเคราะห์ วิจารณ์ในแง่มุมต่างๆ”
นอกจากนี้ เมื่อช่วงต้นปีนี้ ได้เปิดโปรเจค “เพลิงกฤษณา” 3 นวนิยายคุณภาพของคุณกฤษณา อโศกสิน มาทำเป็ประกอบด้วยเรื่อง “ลายหงส์” ที่ออกอากาศจบไปแล้ว และกำลังต่อด้วย “ปีกทอง” และ “ป่ากามเทพ” ตามลำดับ
ไม่เพียงแค่นี้… “GMM 25” ยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผู้ชม ด้วยการนำภาพยนตร์วัยรุ่นโด่งดังในอดีตอย่าง “O-Negative รัก-ออกแบบไม่ได้” กลับมารีเมคในรูปแบบซีรีย์ ผลปรากฏว่าหลังจากข่าวออกไป เกิดกระแสทั้งจากผู้ชม และโฆษณาที่จองเต็มตั้งแต่ยังไม่ได้ถ่ายทำ
นอกจากละครและซีรีย์ ที่เป็นแม่เหล็กดึงคนดูแล้ว ขณะเดียวกันยังได้เดินหน้าสร้างสรรค์รายการข่าว และรายการวาไรตี้ ให้มีความแตกต่าง และตอบสนองกลุ่มเป้าหมายหลัก เช่น รายการเล่าข่าวสไตล์ใหม่ “ข่าวคลุกข้าว”, รายการ “Stage Fighter ไมค์หมู่ สู้ ฟัด” และ รายการท่องเที่ยวของวัยรุ่นยุคใหม่ “โตแล้ว”
- โฆษณา “Project Base” สร้าง Value แบรนด์สินค้า
“GMM 25” ได้พัฒนารูปแบบการขายโฆษณาแนวใหม่ ที่นำเสนอเป็นแพคเกจโฆษณา “Project Base” โดยทางช่องจะตั้งโปรเจคขึ้นมาก่อน แล้วนำไปเสนอกับ Advertiser ผู้ลงโฆษณาสินค้าและบริการต่างๆ
ในแพคเกจโฆษณาแบบ “Project Base” ประกอบด้วย สปอตโฆษณา, Tie-in สินค้าหรือบริการ, ช่องทาง Social Media ของช่อง และในบางแพคเกจยังรวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาด หรืออีเวนท์ ที่เจาะตรงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์สินค้าและบริการ
ข้อดีของการขายโฆษณาในรูปแบบนี้ ทำให้ลูกค้าได้มากกว่าแค่การซื้อสปอตโฆษณา ที่ตอบโจทย์แต่เพียงสร้างการรับรู้ในแบรนด์และสินค้าเท่านั้น ในขณะที่แพคเกจโฆษณาแบบ Project Base ได้ทั้ง Brand Awareness และ Engagement ที่สร้างการมีส่วนร่วมระหว่างช่อง – แบรนด์สินค้าและบริการ – ผู้ชม
“การที่เรานำเสนอแพคเกจโฆษณาแบบ Project Base ได้ เพราะลูกค้ามีความเชื่อถือ เชื่อใจใน Content ของเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา และทุกวันนี้ลูกค้าแบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ ได้ให้การยอมรับในสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา”
- ผนึกพลัง Social Media
การสื่อสารผ่าน “Social Media” เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สร้างความแตกต่างให้กับ “GMM 25” และถือเป็นช่องที่ให้ความสำคัญกับช่องทางการสื่อสารนี้อย่างมาก เพราะเป็นช่องทางสร้าง Engagement กับคนดูได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Facebook ปัจจุบันมี Fan Page กว่า 1.8 ล้านคน สำหรับใช้เป็นช่องทางพูดคุยกับคนดู และระหว่างคนดูด้วยกันเอง รวมถึง YouTube เพื่อให้คนดูสามารถติดตามดูรายการต่างๆ ของช่อง ย้อนหลัง ขณะนี้มีผู้ติดตามกว่า 1.2 ล้านคน
“การสร้างความสัมพันธ์กับคนดู และลูกค้าของเรา เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่คนดู กับคนผลิต Content หรือคนซื้อโฆษณา กับคนขายโฆษณาเท่านั้น แต่มีเรื่องของความพึงพอใจ ความสุข ความสนุกที่คนดูและลูกค้าได้รับจากการดู Content ของเรา และที่ผ่านมาจากยอด Like ยอด Share ยอด View เราไม่ได้ใช้เงินในการโปรโมตโพสต์เลย เป็นบทพิสูจน์ว่าคนติดตามเราเป็นจำนวนมาก เกิดการคุย แชร์ คอมเมนต์กัน เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสื่อทีวี และสื่อออนไลน์ ที่ช่วยสร้างกระแส Talk of the town ให้กับ Content”
“GMM 25” มั่นใจว่าการตอกย้ำ 4 กลยุทธ์สร้างความแตกต่างดังกล่าว จะขับเคลื่อนให้ช่องบรรลุเป้าหมายด้านรายได้ปีนี้ 800 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 100% และคาดว่าจะสามารถก้าวสู่ Top 5 ของกลุ่มทีวีดิจิตอล