HomeSponsored“กลุ่มรพ.รามคำแหง” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ตอกย้ำโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญทุกการดูแล และเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพที่คนรุ่นใหม่ไว้วางใจ

“กลุ่มรพ.รามคำแหง” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ตอกย้ำโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญทุกการดูแล และเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพที่คนรุ่นใหม่ไว้วางใจ

แชร์ :

ทุกวันนี้โรงพยาบาลมีแบรนด์ให้เลือกใช้บริการมากมาย แต่ในวันที่เจ็บป่วย โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคที่ซับซ้อน เราก็อยากจะรักษากับหมอที่เชี่ยวชาญในโรคนั้นจริงๆ เพื่อรักษาได้อย่างตรงจุด ซึ่งหนึ่งในโรงพยาบาลที่มีจุดแข็งด้านการรักษาโรคที่ซับซ้อนและยากต่อการรักษา ก็คือ โรงพยาบาลรามคำแหง หรือ RAM Hospital ด้วย Know How ในการรักษาคนไข้ที่สั่งสมมายาวนาน และมีแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าจะมาเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญการรักษาโรคยากแบบนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วโรงพยาบาลแห่งนี้ทำได้อย่างไร?

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

Brand Buffet พามาหาคำตอบไปด้วยกันกับ “ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง และบริษัทในเครือ ที่จะพาทุกคนมาเจาะลึกไอเดียและเบื้องหลังความตั้งใจของโรงพยาบาลตั้งแต่ Day One พร้อมการรีเฟรชแบรนด์ครั้งสำคัญ ซึ่งนอกจากจะตอกย้ำความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคซับซ้อนให้แข็งแกร่งกว่าเดิมแล้ว ยังช่วยขยายการรับรู้ไปยังคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วย

จากอุดมการณ์ของกลุ่มอาจารย์แพทย์ สู่เครือโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของไทย

หลายคนอาจคิดว่าการสร้างโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคซับซ้อน ผู้ก่อตั้งต้องเป็นหมอที่เก่งเพื่อให้คนไข้มีสุขภาพดี “กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง” ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ตั้งต้นแค่การรักษาคนไข้ให้มีสุขภาพดีอย่างเดียว แต่เกิดจากอุดมการณ์ของกลุ่มอาจารย์แพทย์ที่ต้องการสร้างโรงพยาบาลให้คนไข้ชาวไทยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปี 2531 ในเวลานั้นโรงพยาบาลเอกชนที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครบทุกสาขายังมีจำกัด ด้วยความตั้งใจนี้ จึงเกิดเป็นโรงพยาบาลรามคำแหงขึ้นมา มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาหลายสาขา พร้อมการดูแลที่อบอุ่นและเครื่องมือทันสมัยในยุคนั้น ซึ่งนี่คือ DNA ที่สร้างความแข็งแกร่งของโรงพยาบาลรามคำแหงมาตั้งแต่วันแรก และทำให้คนไข้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นับตั้งแต่นั้นมา โรงพยาบาลรามคำแหงได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Centers of Excellence) เพื่อรักษาโรคยากและซับซ้อนให้กับคนไข้เพิ่มขึ้น โดยเริ่มจากศูนย์โรคหัวใจ, ศูนย์สมองและระบบประสาท รวมถึงศูนย์ หู คอ จมูก พร้อมทั้งนำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงมายกระดับการบริการ เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยยิ่งขึ้น เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดและการผ่าตัดแผลเล็ก

จึงทำให้โรงพยาบาลรามคำแหงเป็นที่รู้จักของคนไข้ในฐานะโรงพยาบาลด้านการรักษาโรคที่ซับซ้อน ทั้งยังเติบโตมาตลอดทั้งในด้านรายได้ โดยปีที่ผ่านมามีรายได้ 10,228.87 ล้านบาท และมีการขยายเครือข่ายอย่างรวดเร็ว ทั้งการลงทุนสร้างเอง และร่วมลงทุนกับพันธมิตรโรงพยาบาลชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลวิภาราม โรงพยาบาลธนบุรี โรงพยาบาลสินแพทย์ และ โรงพยาบาลวิภาวดี เป็นต้น จนกลายเป็น RAM Hospital Group ปัจจุบันมีเครือข่ายโรงพยาบาล 46 แห่ง และจำนวนเตียงกว่า 7,800 เตียงครอบคลุมทุกภาคของไทย ซึ่งถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของประเทศ

การรีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 37 ปี ตอกย้ำความเชี่ยวชาญ ขยายสู่คนรุ่นใหม่

แม้จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ ดร.ฤกขจี ยอมรับว่า เมื่อเวลาเปลี่ยน พฤติกรรมคนไข้ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่สนใจเรื่องการรักษา คนไข้สมัยนี้หันมาดูแลสุขภาพก่อนเจ็บป่วยมากขึ้น บวกกับการสื่อสารของโรงพยาบาลที่ผ่านมาอาจทำให้คนรุ่นใหม่บางส่วนยังไม่รับรู้ถึงความครอบคลุมของบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลมีอยู่ เพราะที่ผ่านมาไม่มีการทำตลาดและสร้างแบรนด์จริงจัง โรงพยาบาลรามคำแหงจึงต้องการ “รีเฟรชแบรนด์” ครั้งใหญ่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่รับรู้แบรนด์และเข้าใจตัวตนของโรงพยาบาลชัดเจนขึ้น พร้อมกับยกระดับการดูแลสุขภาพของทุกคน

สเตปแรกของการรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่นี้ จึงเป็นการออกแบบโลโก้ใหม่ให้เก๋ขึ้น และออกแบบประสบการณ์ใหม่ให้เชื่อมต่อกับพฤติกรรมจริงของคนรุ่นใหม่ โดยนำแก่นของโรงพยาบาลที่ต้องการดูแลทุกความต้องการด้านสุขภาพและเชี่ยวชาญแบบรอบด้านตั้งแต่การแพทย์เชิงป้องกัน ไปจนถึงการรักษาโรคยากและการฟื้นฟู มาถ่ายทอดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผ่านสโลแกนใหม่ “ตอบทุกความต้องการ เชี่ยวชาญทุกการดูแล” ที่ผสาน “หัวใจแห่งการดูแล” เข้ากับ “ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์” พร้อมกับสื่อสารแก่นของโรงพยาบาลในแบบที่เข้าถึงง่าย ผ่าน 4 หัวใจหลักของแบรนด์ ดังนี้

1. Caring – การดูแลด้วยความอบอุ่นและใส่ใจ

เพราะเชื่อว่าการรักษาที่ดีไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่ต้องรักษาด้วยความเข้าใจ โรงพยาบาลจึงรับฟัง และใส่ใจในรายละเอียดของผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อให้คนไข้ได้รับประสบการณ์การรักษาอย่างอบอุ่นและมั่นใจ ทำให้โรงพยาบาลมีฐานคนไข้ประจำมารักษาต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมามีคนไข้ที่เป็นผู้ป่วยใน 68,526 เตียง และผู้ป่วยนอก 533,850 คน

2. Trusted – ความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาตลอด 37 ปี

ทำให้คนไข้ไว้วางใจ เพราะเป็นหัวใจสำคัญต่อความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่นในแบรนด์ โรงพยาบาลจึงยึดมั่นในมาตรฐานการรักษา ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานสากล ACCI (American Accreditation Commission International), มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ HA (Hospital Accreditation) ของกระทรวงสาธารณสุข และ ISO9001:2015 รวมทั้งใส่ใจคุณภาพการบริการ และจริยธรรมทางการแพทย์ จนกลายเป็นโรงพยาบาลที่คนไข้ให้ความเชื่อมั่นมาหลายทศวรรษ และได้รับรางวัลมากมาย เช่น Best Specialized Hospitals Asia Pacific 2025 Specializing in: Orthopedics by Newsweek, Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2023-2024 และ AIA Hospital Awards 2022​

3. Expertise – ความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคต่างๆ

ใช้จุดแข็งของทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญหลายสาขาในการให้บริการ โดยปัจจุบันโรงพยาบาลรามคำแหงมีแพทย์กว่า 400 คน และบุคลากรทางการแพทย์อีกกว่า 1,700 คน รวมถึงศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่หลากหลาย ควบคู่กับการลงทุนนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และการแพทย์ทางไกล มาเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลและรักษาโรคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

4. Collaborative – ความร่วมมือภายในเครือข่ายโรงพยาบาล

ใช้พลังเครือข่ายที่แข็งแกร่ง จากความร่วมมือกับโรงพยาบาลพันธมิตรทั่วประเทศ 46 แห่ง เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างครอบคลุม และเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยทุกระดับอย่างต่อเนื่อง

“การรีแบรนด์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลโก้ แต่เราต้องการสื่อสารให้ชัดเจนว่าความเชี่ยวชาญของเราครอบคลุมทุกช่วงวัย และพร้อมเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งเป็นการต่อยอด DNA ด้านความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมา และตอกย้ำอุดมการณ์ดั้งเดิมของกลุ่มอาจารย์แพทย์ผู้ก่อตั้งที่เชื่อในคุณค่าของการรักษาด้วยหัวใจของความเป็นมืออาชีพ”

ยกระดับภาพลักษณ์สู่การเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพสำหรับคนทุกวัย

ไม่หมดแค่นั้น โรงพยาบาลรามคำแหงยังขยายบทบาทจากการรักษาเมื่อเจ็บป่วย สู่การเป็น “พันธมิตรด้านสุขภาพ” ที่ดูแลก่อนป่วยในทุกมิติ เพื่อให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาล และวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น เพราะไม่อยากเจ็บป่วย และเพื่อสื่อสารตัวตนและภาพลักษณ์ใหม่ไปยังผู้บริโภค จึงได้เปิดตัวหนังโฆษณาชุดใหม่

โดยตัวหนังหยิบเรื่อง “ความเชี่ยวชาญ” ในการรักษา ซึ่งเป็นจุดยืนของแบรนด์มาเป็นแก่นในการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา เพื่อถ่ายทอดให้เห็นว่าโรงพยาบาลรามคำแหงมีความเชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพแบบรอบด้าน และไม่จำกัดวัยผู้ป่วยตั้งแต่เด็กจนถึงสูงวัย ด้วยแพทย์ที่เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ปรับกลยุทธ์ใหม่ เดินหน้าลงทุน-ขยายบริการสุขภาพให้ครอบคลุม

นอกจากการปรับเปลี่ยนแบรนด์ใหม่แล้ว อีกกลยุทธ์ที่โรงพยาบาลรามคำแหงนำมาใช้คือ ปรับบริการด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพมากขึ้น เช่น บริการด้านหู คอ จมูก สำหรับคนเป็นภูมิแพ้หรือไซนัส โรคหอบหืดในเด็ก และสูตินรีเวช รวมทั้งมีการเพิ่มศูนย์ฟื้นฟูหัวใจและปอด ซึ่งไม่ได้ดูแลแค่ผู้ป่วยโรคหัวใจ แต่ยังรวมถึงนักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการเพิ่มสมรรถภาพหัวใจสามารถมาใช้บริการได้ ซึ่งการขยายบริการสุขภาพเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้บริโภค พร้อมกับตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมให้อยู่ในใจผู้บริโภค และ Remind แบรนด์ได้

ดร.ฤกขจี กล่าวว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือ การปรับรูปแบบการลงทุนมาเป็นแบบ “บราวน์ฟิลด์” หรือ M&A มากขึ้น ด้วยการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทย่อยหรือโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้ว เพราะมองว่าเป็นวิธีที่จะช่วยบริหารธุรกิจได้เต็มที่ ไปพร้อมกับการให้บริการสุขภาพได้ทั่วประเทศ เพราะสามารถใช้ความได้เปรียบของเครือข่าย ทำให้มี Flagship Hospital ในแต่ละภูมิภาคได้ ซึ่งปัจจุบันในกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลทั้งฝั่งตะวันออกคือ โรงพยาบาลรามคำแหง และฝั่งตะวันตกคือ โรงพยาบาลธนบุรี ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีขอนแก่นราม ภาคเหนือ มีโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ขณะที่ภาคใต้ มีเครือข่ายโรงพยาบาลธนบุรี และภาคตะวันออก มีโรงพยาบาลวิภาราม

“ในอดีตเราเน้นการลงทุนแบบกรีนฟิลด์ หรือสร้างโรงพยาบาลใหม่ เพราะโรงพยาบาลเอกชนในแต่ละพื้นที่มีน้อย แต่ 2 ปีที่ผ่านมา เราปรับการลงทุนมาเป็นแบบบราวน์ฟิลด์มากขึ้น เพราะโรงพยาบาลมีมากขึ้น และโรงพยาบาลสแตนด์อะโลนหลายแห่งมองหาพันธมิตรมากขึ้น เพราะการสร้างโรงพยาบาล 1 แห่ง กว่าจะเติบโต ต้องใช้เวลานาน แต่การ M&A จะช่วยติดสปริงให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วและรับรู้รายได้ทันที”

ดร.ฤกขจี กล่าวถึงข้อดีของการลงทุนแบบบราวน์ฟิลด์ ทำให้ในช่วง 3 ปีจากนี้ ไม่มีแผนที่จะสร้างโรงพยาบาลใหม่เพิ่ม นอกจากโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้ว นั่นคือ โรงพยาบาลน่านราม ตอนนี้เริ่มก่อสร้างแล้ว ส่วนอีกโครงการคือ โรงพยาบาลมหาสารคาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ

ตั้งเป้าสู่ Top of Mind ด้านการดูแลสุขภาพ

สำหรับการแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาล ดร.ฤกขจียอมรับว่า ปัจจุบันยังดุเดือด แต่ RAM Hospital Group มีจุดยืนชัดเจนในการเป็นโรงพยาบาลที่ดูแลคนไข้ครอบคลุมทุกกลุ่มตั้งแต่การชำระเงินเอง ประกันสุขภาพ ประกันสังคม จนถึงสิทธิประกันสุขภาพบัตรทอง จึงสามารถกระจายความเสี่ยงได้ ประกอบกับการใช้จุดแข็งของเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีอยู่ทั่วประเทศ และการหันมารุกตลาดการดูแลสุขภาพเชิงรุก ซึ่งเป็นเทรนด์และมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ย่อมสร้างโอกาสใหม่ๆ และทำให้ RAM Hospital Group เติบโตต่อเนื่องในเกมที่ท้าทายมากขึ้นทุกวัน

แม้เป้าหมายการรีแบรนด์ในครั้งนี้ โรงพยาบาลรามคำแหงต้องการขยายฐานไปยังคนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่จากการปรับกระบวนยุทธ์ใหม่ ดร.ฤกขจี เชื่อว่าจะช่วยให้โรงพยาบาลมี Modernize Image และเพิ่มสัดส่วนคนไข้ต่างชาติในไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Expat ได้ถึง 10% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 5%  พร้อมทั้งขยับตัวเองขึ้นมาเป็น Top of Mind Brand ในด้านการดูแลสุขภาพของเมืองไทยต่อไป

ทั้งหมดนี้จึงไม่เพียงสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงชัดเจนมากขึ้น แต่ในมุมของธุรกิจยังทำให้เห็นว่า โรงพยาบาลพร้อมปรับตัวเองให้สอดรับกับบริบทและพฤติกรรมคนไข้ที่เปลี่ยนไปเช่นกัน เพื่อให้ธุรกิจยังคงเติบโตและอยู่ในใจผู้บริโภคทุกยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง


แชร์ :

You may also like