ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป แนะองค์กรธุรกิจเตรียมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อเตรียมรับมือเมกะเทรนด์ด้านเทคโนโลยีในปี 2026 ชู “Digital Intelligence Fabric” 8 โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำคัญที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องมี หวังตอบโจทย์ SME ไทยให้ทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น
คุณเอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า “ปี 2569 จะเป็นปีสำคัญที่องค์กรไทยต้องเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่อย่างจริงจัง เพราะการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่ใช่ตัวเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเงื่อนไขของการแข่งขัน โดยเราจะเห็น 3 การเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน คือ
- การหลอมรวมเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน (Integration)
- การสร้างนวัตกรรมที่นำไปใช้ได้จริงในธุรกิจ (Innovation at Scale)
- ความเร็วในการส่งมอบผลลัพธ์ (Acceleration)
ทั้งนี้ จากเมกะเทรนด์ดังกล่าว คุณเอกราชชี้ว่า เทคโนโลยีดิจิทัลจะเชื่อมโยงและหลอมรวมกันอย่างไร้รอยต่อมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมี AI เป็นกลจักรสำคัญ หากองค์กรยังไม่เริ่มวางรากฐานที่สามารถเชื่อมโยงต่อยอดเทคโนโลยีและระบบเข้าด้วยกัน อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เกิดความเสี่ยงในการเติบโตและลดโอกาสทางธุรกิจ ซึ่ง Digital Intelligence Fabric จะเข้ามาช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทำหน้าที่เชื่อมต่อทุกระบบเข้าด้วยกัน ลดความซับซ้อน เพิ่มความเร็ว และทำให้เทคโนโลยีสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจจริง เป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่ที่จำเป็นสำหรับทุกองค์กรธุรกิจทุกขนาด
สำหรับ 8 โซลูชันของ Digital Intelligence Fabric ประกอบด้วย
- Vertical Cloud with Embedded Security — คลาวด์อัจฉริยะพร้อมระบบความปลอดภัยในตัวตั้งแต่ต้นทาง ลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี ลดภาระด้านบุคลากรไอที ช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานคลาวด์ได้อย่างมั่นใจและขยายระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity)
- Connectivity & IoT Platform — เชื่อมทุกสิ่งรอบตัว ทั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร และเซ็นเซอร์ต่างๆ เข้ากับโลกดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ รวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ภาคสนาม อาคาร ยานพาหนะ ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม การตรวจสอบ และการวิเคราะห์เชิงลึก
- Computer Vision AI — เปลี่ยนกล้องวงจรปิดเดิมให้ฉลาดขึ้นทันทีด้วย AI โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ ตรวจจับ วิเคราะห์ แจ้งเตือนความผิดปกติแบบเรียลไทม์ ทั้งด้านความปลอดภัย การปฏิบัติงาน และประสบการณ์ลูกค้า ช่วยลดต้นทุนขณะที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
- Connected Building & Energy Management — แพลตฟอร์มบริหารอาคารและพลังงานเพื่อประหยัดต้นทุนและตอบโจทย์ความยั่งยืน (Sustainability) ควบคุมอุณหภูมิ แสงสว่าง และการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบรายงานการปล่อยคาร์บอนครบวงจร รองรับเป้าหมาย ESG
- Smart Logistics & Supply Chain — ระบบจัดการขนส่งและซัพพลายเชนแบบอัจฉริยะ เพื่อความรวดเร็ว ปลอดภัย และคุ้มค่าสูงสุด เก็บข้อมูล Telemetric วิเคราะห์พฤติกรรมการขับ เลือกเส้นทางที่เหมาะสม ลดอุบัติเหตุ ลดค่าใช้จ่าย และบริหารส่วนอื่นๆ ในระบบซัพพลายเชน เช่น การต่อเชื่อมกับระบบคลังสินค้า (warehouse)
- Data & AI Platform — ดึงพลังจากข้อมูลทุกแหล่งเพื่อนำไปสร้างรายได้ ลดต้นทุน และเร่งการสร้าง AI ให้เร็วขึ้น รวมข้อมูลทั้งองค์กร ใช้งานง่ายแบบ No-code / Low-code ช่วยให้หน่วยธุรกิจสร้างแดชบอร์ด วิเคราะห์โมเดล AI และพัฒนาบริการใหม่ได้อย่างทันที รวมถึงการควบรวมข้อมูลจาก Telco ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด
- Managed Cybersecurity — ระบบความปลอดภัยครบวงจรที่ช่วยปกป้ององค์กรจากภัยคุกคามยุคใหม่ตลอด 24/7 บริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก ปรับมาตรฐานความปลอดภัยรองรับการขยายระบบ ช่วยองค์กรลดภาระด้านเครื่องมือและบุคลากร พร้อมผลลัพธ์ด้าน Compliance
- Digital Skill & Development — ยกระดับคนให้พร้อมเติบโตไปกับเทคโนโลยี เรียนรู้ ทดลองทำจริง และสร้างวัฒนธรรมดิจิทัลในองค์กร พัฒนาความรู้ด้าน Data / AI / Cyber / Cloud พร้อมวางโรดแมปการ upskill & reskill เพื่อให้บุคลากรพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ตลอดเวลา
“โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทุกวันนี้เทคโนโลยีสามารถใช้ได้ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้นผ่าน Platform as a Service องค์กรจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดใหญ่เหมือนในอดีต สามารถเริ่มต้นเล็ก ปรับขยาย หรือยกเลิกได้ตามความต้องการ ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจมีความยืดหยุ่นสูง มั่นใจว่า Digital Intelligence Fabric จะยกระดับองค์กร เชื่อมกระบวนการทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อการทำงานที่รวดเร็วขึ้น แก้ปัญหาได้ตรงจุด และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน” คุณเอกราช กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ รายงานอุตสาหกรรมฯ ยังชี้ด้วยว่า ปี 2568-2573 จะเป็นช่วงที่การลงทุนด้านดิจิทัลเติบโตสูง เห็นได้จากการใช้จ่ายเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation Spending) ปี 2568 อยู่ที่ 10,060 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเป็น 15,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 ขณะที่รัฐบาลไทยอนุมัติลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ รวม 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมตั้งเป้าสร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีกว่า 280,000 คน และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อีกกว่า 50,000 คน




