HomeInsightรับมือโลกยุคฉลาดล้ำแต่ไร้สมดุล สรุป 10 เทรนด์การเปลี่ยนแปลง พร้อม 6 กลยุทธ์การตลาดที่ควรทำในปี 2026

รับมือโลกยุคฉลาดล้ำแต่ไร้สมดุล สรุป 10 เทรนด์การเปลี่ยนแปลง พร้อม 6 กลยุทธ์การตลาดที่ควรทำในปี 2026

แชร์ :

ปี 2026 กำลังใกล้เข้ามา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่คาดเดาได้ยาก สิ่งสำคัญสำหรับนักการตลาดและผู้ประกอบการไทย คือการเตรียมความพร้อมและก้าวข้ามการเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคใหม่ “โลกไร้สมดุล” จากการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาค ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม และพฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์จากหลากหลายแบรนด์

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่าทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจและกลยุทธ์การตลาดปี 2026 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ “โลกที่มีความฉลาดล้ำจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” ขณะเดียวกันเปราะบางมากขึ้นจากปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การผลิตและการบริโภค ที่ไม่สมดุล

จึงให้นิยามปี 2026 ว่าเป็นโลกฉลาดล้ำ เปราะบาง ไร้สมดุล (The Unbalanced Intelligent World)

ดังนั้นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการตลาดที่สำคัญในปี 2026 เป็นโจทย์ใหญ่ที่นักการตลาดและผู้ประกอบการไทยต้องเข้าใจแนวโน้มสำคัญเพื่อเตรียมรับมือ ก้าวข้ามการเปลี่ยนผ่านและสร้างโอกาสใหม่เชิงการตลาด

สรุป 10 เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของตลาดปี 2026 

1. โลกถึงจุดเปลี่ยน จากโลกที่สมดุล เรากำลังเข้าสู่โลกที่ไม่สมดุล โดยมี 3 โจทย์สำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย

จากโลกที่มีความมั่งคงกลายเป็นหนี้ ด้านเศรษฐกิจหากมี “หนี้สูง” จะต้องเติบโตสูงด้วย แต่ปัจจุบันอยู่ในโลกที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำแต่มีหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเงินหรือความมั่งคั่งจะค่อยๆ ลดลง จึงเกิดความไม่สมดุลของหนี้และการเติบโตในอนาคต

ผลผลิตแรงงานและระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ แต่ตลาดเติบโตน้อยกว่า ตัวอย่าง “จีน” เป็นฐานการผลิตสินค้าราคาถูก ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเพราะตลาดและกำลังซื้อในประเทศเติบโต แต่หลังจากตลาดจีนไม่เติบโต ขณะที่ความสามารถในการผลิตจำนวนมากยังคงสูงอยู่ จึงทำให้สินค้าที่ผลิตเหลือและต้องระบายออกนอกประเทศ เกิดการตัดราคากับสินค้าในประเทศอื่นๆ ที่จีนเข้าไปทำตลาด

การใช้พลังงานกับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ไปทางเดียวกัน จากการใช้พลังงานมากขึ้นด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Data Center, AI ทำให้อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น แต่ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โลกจึงเกิดความไม่สมดุล

2. ตลาดขนาดใหญ่ จะถูกแบ่งย่อยเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Fragmentation) จาก Globalization เป็น Deglobalization

– ดังนั้นนักการตลาดและแบรนด์ต้องหาตลาดที่มีความชำนาญมากที่สุด ต้องเก่งในตลาดที่ตัวเองถนัด คือในตลาดที่มีลูกค้าศักยภาพสูง แนวโน้มจะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

3. Asia และ China เริ่มมีอิทธิพลทางความคิดแทนที่ตะวันตก (Asia Soft Power)

– จากยุคที่แบรนด์เกิดจากโลกตะวันตกแล้วขยายมาในโลกตะวันออก (เอเชีย) แนวโน้มแบรนด์แจ้งเกิดจากเอเชียมากขึ้น เช่น คอนเทนต์จากจีน, บอลลีวูด (Bollywood) มีบทบาทและอิทธิพลทางความคิดมากขึ้น เพราะเอเชียอยู่ในภูมิภาคที่กำลังเติบโต และมีแบรนด์ที่สะท้อนความเก่งของเอเชียมากขึ้น

4. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ของนักการตลาดสำคัญกว่า “ตรรกะ”

– เมื่อทุกคนใช้ AI เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการทำการตลาด ตรรกะจะคล้ายๆ กันหมด ดังนั้นหากแบรนด์ต้องการแตกต่างก็ต้องมี “ความคิดสร้างสรรค์”

5. Multiverse, AI Agentic, Humanoid จะเป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในการทำตลาดมากขึ้น

– ผลวิจัยพบว่า “การตลาด” เป็นกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยี AI มาช่วยทำงานในอันดับต้นๆ ซึ่งช่วยให้การทำงานรวดเร็วมากขึ้น

6. ผู้บริโภคให้ความสำคัญและใส่ใจกับประเด็นทางสังคมมากขึ้น (Drama and Viral Marketing)
– ประเด็นดราม่าในสังคมได้รับความสนใจมากขึ้นเพราะโลกเปราะบาง ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ จึงต้องสะท้อนตัวตนให้ชัดเจน ในการร่วมกันแก้ปัญหาสังคม

7. Influencers ไม่ได้เป็นแค่ผู้นำเชียร์สินค้า (ขายสินค้า) แต่ต้องเป็นผู้นำทางความคิด ผู้นำจิตวิญญาณ และต้องเป็น Key opinion customer (KOC)

– ยุคใหม่ KOC คือคนที่ใช้จริง รีวิวจริง จะทำให้ผู้บริโภคสนใจแบรนด์มากขึ้น เป็นการตลาดที่คิดนอกกรอบในยุคที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ

8. ผสมอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของผู้คนเข้ากับแบรนด์

– เป็นกลยุทธ์มวยรอง (underdog strategy) ของแบรนด์ใหม่ที่นำมาใช้ทำตลาด เพื่อทำให้แบรนด์โดดเด่นจากเจ้าตลาด ตัวอย่าง แบรนด์รองเท้า “On” จากสวิตเซอร์แลนด์ ที่มี “โรเจอร์ เฟเดอเรอร์” อดีตนักเทนนิสมือวางอันดับ 1 ร่วมคิดค้น เป็นการนำอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของ “โรเจอร์” มาผนวกกับเทคโนโลยีการผลิตจากสวิส

9. การตลาดสำคัญกว่าการผลิต และอยู่รอดได้ด้วยการบริหารเงินและ Cashflow

– จากยุคที่ตั้งโรงงานผลิตสินค้าก่อนหาตลาด แต่วันนี้ “จีน” เป็นฐานการผลิตของโลก ในยุคนี้ “การตลาด” ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในมือจึงสำคัญ ดังนั้นการตลาดจึงสำคัญกว่าการผลิต แต่ต้องบริหารเงินและกระแสเงินสดให้เป็นด้วย ดังนั้นบริษัทที่จะอยู่รอดได้ในยุคนี้ต้องเน้นลูกค้าและการบริหารเงิน

10. แบรนด์กลางๆที่ไม่มีจุดขายอย่างชัดเจนจะอยู่ได้ยากขึ้น และมีแนวโน้มต้องควบรวมกิจการ เพื่อให้อยู่รอดได้ โดยแบรนด์กลางๆ ต้องปรับตัวหากลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน

“แบรนด์จำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างประณีต แม่นยำ และคล่องตัว ขณะเดียวกันนักการตลาดต้องกล้าคิดนอกกรอบ ก้าวข้ามการส่งมอบคุณค่าแบบดั้งเดิมให้กับลูกค้า ผสมทฤษฎีและภาคปฏิบัติเข้าด้วยกัน กลายเป็นวัฒนธรรมและตัวตนของแบรนด์”

6 กลยุทธ์การตลาดที่ควรทำในปี2026

1. Competitive Advantage เปลี่ยนเป็น Chaotic Advantage

– จากโลกที่สมดุล สู่โลก “ไร้สมดุล” ไม่แน่นอน บริษัทที่ยืดหยุ่นกว่า เปลี่ยนได้หลากหลายกว่า คือผู้ได้เปรียบ ทั้งในเชิงกลยุทธ์การตลาดและการจัดการ Supply Chain ทั้งในและต่างประเทศ รูปแบบเดิมอยู่ไม่ได้อีกต่อไป บริษัทที่เปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่าจะไปต่อได้

2. Micro Marketing เปลี่ยนเป็น Micro Everything

– การตลาดเฉพาะเจาะจงนั้นไม่พอ ต้องเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ต้องมีการผลิตที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น การจัดจำหน่ายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น นักการตลาดที่ดีต้องสามารถช่วยสร้างได้แม้แต่อำนาจซื้อของลูกค้า ตัวอย่างที่ชัดเจน ร้านโอมากาเสะ (Omakase) ทำตั้งแต่เลือกวัตถุดิบ เชฟทำอาหารขาย ลูกค้าต้องจอง เป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่คนอื่นลอกเลียนแบบได้ยาก

3. AI Marketing Tool เปลี่ยนเป็น AI Marketing Teammate

– แบรนด์จะมี “ทีมงาน AI” เป็นเพื่อนร่วมงานมีหน้าที่คิด ทำ จัดการงานด้านการตลาดได้อัตโนมัติ AI จะไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างชิ้นงานทางการตลาด แต่สามารถช่วยคิดนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่มีความสร้างสรรค์ทางการตลาดได้ (AI Content Creator) คนที่ทำงานกับ AI จะได้เปรียบด้านการแข่งขัน

4. Brand Management เปลี่ยนเป็น Brand Movement

– การจัดการแบรนด์ไม่เพียงพอ แบรนด์จะอยู่กับผู้บริโภคในทุกช่วงจังหวะชีวิต ไม่เพียงสะท้อนตัวตนของสินค้า แต่เป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม และพัฒนาสังคมสู่ความยั่งยืน แบรนด์ที่สร้างกระแสสังคมในทางดี จะสร้างสาวกที่มีความภักดีกับแบรนด์ได้

5. Drama Queen เปลี่ยนเป็น Drama Quality

– จากดราม่าเพื่อให้เป็นข่าว สู่ไวรัลที่มีความหมายและส่งผลต่อสังคม เพราะคนจะแชร์สิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคมมากขึ้น

6. Influencer Selling เปลี่ยนเป็น Influencer Meaning

– จาก Influencer ที่เชียร์ขายของสู่ Influencer ที่เป็น “ผู้นำความคิดและจิตวิญญาณ” ผู้บริโภคต้องการคำแนะนำ (guidance) ไม่ใช่โฆษณา แบรนด์ที่ดีจะต้องเข้าใจปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และนำคุณค่าเหล่านั้นมาเป็นจุดขายที่มีความหมายอย่างแท้จริง ดังนั้นแบรนด์ต้องหา Influencer ที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างโดดเด่น

ภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัดและการเปลี่ยนแปลงของโลกยังไม่สิ้นสุด บทบาทของการตลาดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ช่วยประคับประครองสถานการณ์ให้ดีขึ้น แบรนด์ต้องจำเป็นต้องปรับตัวอย่างประณีต แม่นยำ และคล่องตัว ขณะเดียวกัน นักการตลาดต้องกล้าคิดนอกกรอบ เพื่อสร้างความแตกต่าง ก้าวข้ามการส่งมอบคุณค่าแบบดั้งเดิมให้ลูกค้า เพื่อส่งมอบคุณค่าใหม่ด้านสังคม

การตลาดในยุคหน้าทฤษฎีอย่างเดียวไม่พอ ต้องผสมการปฏิบัติ ดึงวัฒนธรรมที่เป็นตัวตนของแบรนด์แสดงให้ผู้บริโภคได้เห็น ปี 2026 เป็นปีที่ต้องปรับตัว ประคับประคองรอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี โลกจะกลับมาสมดุล แต่หากไม่ปรับตัว โอกาสรอดยาก

“โลกในปี 2026 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การตลาดไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่คือการสร้างความเข้าใจในมนุษย์ สังคม และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนอนาคตของประเทศ นักการตลาดยุคใหม่ต้องพร้อม Prompt the Future ด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัวอย่างไม่หยุดนิ่ง”

พร้อมกันนี้ สมาคมฯ ได้แนะนำงานใหญ่ประจำปี “วันนักการตลาดแห่งประเทศไทย 2568 (Thailand Marketing Day 2025)” ภายใต้แนวคิด “Prompt the Future : The Power of Marketing” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 – 17.00 น. ณ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ ชั้น 5

ไฮไลต์สำคัญจากวิทยากรระดับประเทศ อาทิ คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร CEO บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic, คุณสุวิตา จรัญวงศ์ CEO & Co-founder บริษัท เทลสกอร์ จำกัด และผู้บริหาร และกูรูนักการตลาดอีกกว่า 20 ท่าน พร้อมการมอบรางวัล “Marketing Awards of Thailand 2025” เชิดชูองค์กรที่สร้างแรงบันดาลใจและใช้พลังการตลาดอย่างสร้างสรรค์

งานนี้ถือเป็นเวทีแห่งอนาคตการตลาดของประเทศ รวมพลังผู้นำทางความคิด นักการตลาด ผู้บริหาร และนักธุรกิจจากหลากหลายอุตสาหกรรมกว่า 30 ท่าน ร่วมแบ่งปันแนวคิดและกรณีศึกษาจริง ครอบคลุมทั้ง 2 เวทีหลัก 1 ห้อง Workshop และ โซน Marketing Fest กว่า 40 บูธ ภายใต้ 4 เทรนด์โซน คือ Future Food & Lifestyle, Health & Wellness, Tech & Innovation และ Brand & Creative Showcase

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like