HomeBrand Move !!หนี้สูญหลายร้อยล้าน จึงต้องมีแบรนด์เอง…เปิดแนวคิด “เมย์-วาสนา” จากเบื้องหลังแบรนด์ความงาม สู่การต่อยอดสินค้าใหม่ BioActive+

หนี้สูญหลายร้อยล้าน จึงต้องมีแบรนด์เอง…เปิดแนวคิด “เมย์-วาสนา” จากเบื้องหลังแบรนด์ความงาม สู่การต่อยอดสินค้าใหม่ BioActive+

แชร์ :

หากพูดถึงนักธุรกิจสาวที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่กล่าวถึงในเวลานี้เชื่อว่าชื่อของ “ไฮโซเมย์” หรือ “ดร.วาสนา อินทะแสง” คงเป็นหนึ่งในชื่อที่ใครหลายคนนึกถึง เพราะด้วยกระแสที่มาแรงทั้งเรื่องธุรกิจ เรื่องส่วนตัว ทำให้เธอถูกจับตามองในฐานะนักธุรกิจสาวเบื้องหลังตลาดความงามและสุขภาพเมืองไทย กับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ บริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จํากัด

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ตลอดเวลาร่วม 10  ปีที่ผ่านมา Revomed Group (บริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จํากัด) คือหนึ่งในกำลังหลักเบื้องหลังผู้ผลิตของอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพไทย ผลิตและพัฒนาแบรนด์มาแล้วกว่า 5,000 แบรนด์ จนได้รับการยอมรับด้าน คุณภาพและนวัตกรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  แต่ท่ามกลางการเติบโตที่โดดเด่น ปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่อง หนี้สูญหลายร้อยล้านบาท กลับกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ “ดร.วาสนา อินทะแสง” หรือ “คุณเมย์–วาสนา” กรรมการผู้จัดการ Revomed Group ต้องตัดสินใจสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา กับอีกหนึ่งบทบาทใหม่ในฐานะ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไบโอแอคทีฟ เอ็นแซต 1984 จำกัด ร่วมกับ “คุณจี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร” ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง

 

 

“ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัญหาของ รีโว่เมด กรุ๊ป คือ เราขายดีมาก แต่เราเก็บหนี้ไม่ได้เยอะมากพูดตรงๆ ทำให้งบเราในปี 2566 แม้เราจะไม่เคยขาดทุนเลย แต่เรายังคงติดลบ ทั้งหมดเกิดจากหนี้สูญ (รับจ้างผลิตแล้วไม่ได้เงินตามนัด) ที่ไม่ใช่เกิดจากแค่รายเดียว แต่มีเยอะมาก รวมๆก็หลายร้อยล้านบาท จึงทำให้รู้สึกว่า ขายดีแล้วไม่ได้ตังค์… ก็พูดกันภาษาชาวบ้านก็คือขายเองดีกว่า” คุณเมย์-วาสนากล่าว

 

แม้ รีโว่เมด กรุ๊ป จะมีผลกำไรสูงต่อเนื่อง แต่การเก็บหนี้จากคู่ค้าไม่สำเร็จ โดยเฉพาะรายใหญ่ 7 รายที่มียอดค้างชำระรวมกว่าหลายร้อยล้านบาท ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ “ขายดีแต่ไม่ได้ตังค์ คือเจ็บที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าจะเหนื่อยอยู่แล้ว เราควรสร้างแบรนด์ของตัวเองดีกว่า” คุณเมย์กล่าว

นี่คือจุดเริ่มต้นของ BioActive+ แบรนด์ที่เธอตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อแก้ Pain Point ดังกล่าว พร้อมทั้งตอบโจทย์ทั้ง ความมั่นคงทางธุรกิจ และ โอกาสในตลาดความงามระดับโลก โดยเปิดตัวออกมาวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมา จนกลายเป็นผู้เล่นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาด ด้วยกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ชัดเจน การลงทุนทางการตลาดระดับแมส และนวัตกรรม Concentrated Liquid Supplement 

เพียง 4 เดือนหลังการเปิดตัว (5 พฤษภาคม– 9 กันยายน 2568)  BioActive+ ทำยอดขายพุ่งทะลุ 921 ล้านบาท (ข้อมูลซัพพอร์ตจาก Insight Data ของยอดขาย นับตั้งแต่ วันที่ 5 พฤษภาคม – 9 กันยายน 2568) แบรนด์มียอดคำสั่งซื้อสิ้นค้าทั้งหมด 1,541,707 กล่อง หรือ จัดจำหน่ายไปแล้วมากกว่า 15 ล้านหลอด คิดเป็นวันละ 121,394 หลอด ชั่วโมงละ 5,058 หลอด นาทีละ 84 หลอด โดยตั้งเป้าแตะ1,500 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2568 หรือคิดเป็นMarket Share ประมาณ 3% ของตลาดอาหารเสริมไทย

 

คุณจี๋-สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร

 

“ไม่เคยคิดว่าเราจะออกมา Outstanding ขนาดนี้ แต่วันนี้ต้องปรับ Model Business เพราะเรามองว่าขาที่แข็งแรงที่สุดก็คือขาการผลิตด้วยขาของตัวเอง วันนี้การทำ OEM  เหมือนเรายืมจมูกคนอื่นหายใจไปตลอด ความมั่นคงในชีวิตเราไม่มี ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้ว  โดยที่ผ่านมาตัวเองลงทุนและเป็นผู้ถือหุ้นในแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงดูแลบริษัทรวมกว่า 27 บริษัท ตอนนี้ก็ปรับลดลงมาเยอะและไม่ได้ออกหน้ามาทำแบรนด์เอง แต่พบว่าเป็นการลงทุนที่ไม่ได้เงินกลับมา ลูกค้าติดหนี้ตนมากมาย จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้ลุกมาทำแบรนด์และขายเอง”

 

เบื้องหลังการสร้างแบรนด์ BioActive+ เมื่อ OEM ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ย้อนไปก้าวแรกของ BioActive+ เริ่มที่นิวซีแลนด์ ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องวัตถุดิบธรรมชาติคุณภาพสูง “คุณเมย์” เลือกวิธีเข้าถือหุ้น 55% BioActive+ นิวซีแลนด์ เพื่อให้มีอำนาจในการตัดสินใจและกำหนดทิศทางแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ และถือหุ้นใน Bio-Active ประเทศไทย 100% (โดยแบ่งให้นิวซีแลนด์ถือ 5% ในอนาคต) โครงสร้างดังกล่าวเจ้าตัวยึดหลักว่าในทุกตลาดที่เข้าไปต้องถือ Majority ไว้อย่างน้อย 55% สูงสุดก็ประมาณ 60% เพื่อควบคุมทิศทางธุรกิจ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขว่า ช่องทางการตลาดและโซเชียลมีเดียทั้งหมดต้องเป็นทรัพย์สิน (Asset) ของแบรนด์ เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว โดยกลยุทธ์หลักในการสร้างแบรนด์ BioActive+ ในอนาคตยังจะเพื่อแก้ Pain Point ในหลายส่วนไม่ว่าจะเป็น

  • แก้ปัญหา “ขายดีแต่เก็บเงินไม่ได้“: Revomed Group เคยประสบปัญหาขาดทุนครั้งแรกในรอบ 7 ปีไม่ใช่เพราะยอดขายไม่ดีแต่เกิดจากปัญหา “หนี้จะสูญ” จำนวนมหาศาลจากลูกค้าหลายรายทำให้ตระหนักว่าการมีแบรนด์ของตัวเองคือการสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง
  • สร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาด: มองว่าตลาดอาหารเสริมไทยกำลัง “พัง” เพราะการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง (เช่นสินค้าราคา 9 บาท) ทำให้คุณภาพหายไปผู้บริโภคเริ่มไม่เชื่อมั่นการสร้างแบรนด์ BioActive+ จึงเป็นการเข้ามาเพื่อยกระดับตลาดด้วยสินค้าคุณภาพสูงที่เห็นผลจริง
  • ความต้องการเป็น “Global Brand”: นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการสร้างแบรนด์ของคนไทยที่สามารถไปยืนในเวทีระดับโลกได้

 

 

ส่วนการทำตลาดนับจากนี้จะเน้นการใช้กลยุทธ์ “ซื้อเวลา-ความน่าเชื่อถือ” เพื่อมัดใจลูกค้ารุ่นใหม่ ใส่ใจสุขภาพ  ครอบคลุมทั้ง Branding – Communication – Sales Activation บนงบการสร้างแบรนด์ และการตลาดที่วางไว้อยู่ที่ 10-15% จากเป้ายอดขาย โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น

  • ซื้อเวลาและความน่าเชื่อถือ (Trust): แทนที่จะสร้างแบรนด์ใหม่จากศูนย์แต่เลือกที่จะเทคโอเวอร์แบรนด์ BioActive+ จากนิวซีแลนด์ที่มีอายุกว่า 40 ปีและเป็น “King of Colostrum” (นมน้ำเหลือง) ของโลกเพราะ “เงินซื้อได้หลายอย่างแต่ซื้อเวลาและความน่าเชื่อถือไม่ได้” การทำเช่นนี้ทำให้แบรนด์มีเรื่องราวและฐานความเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งทันที
  • นวัตกรรมที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคตั้งแต่รูปแบบสินค้า (Differentiation): เป็นแบรนด์แรกที่ทำอาหารเสริมในรูปแบบ “Liquid” บรรจุในหลอด (Tube) ที่ใช้งานง่ายเพียงแค่ “ดรอป” ลงในเครื่องดื่มทำให้การทานอาหารเสริมไม่เหมือนกับการทานยาอีกต่อไปแต่กลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่สนุกและสะดวก
  • การบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ (Holistic Supply Chain): การที่เป็นเจ้าของโรงงานเองทำให้สามารถควบคุมคุณภาพ, ต้นทุน, และความเร็วในการผลิตและพัฒนาสินค้าใหม่ๆได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่การสั่งผลิตเครื่องจักรเฉพาะทาง, การออกแบบแม่พิมพ์, ไปจนถึงการจดสิทธิบัตรเพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ

 

กางแผนโค้งท้ายขยายเข้า เซเว่น-อีเลฟเว่น ชิงตลาด 90,000 ล้านบาท 

สำหรับ 4 เดือนสุดท้ายของปี BioActive+ เตรียมเดินหน้าขยายตลาดเต็มกำลัง ด้วยกลยุทธ์ Omnichannel Expansion โดยจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 SKUs พร้อมใช้งบการตลาดเพิ่มเติมเพื่อสร้าง Awareness และทดลองซื้อ ควบคู่กับการใช้ Data-Driven Marketing & Personalization ผ่าน CRM เพื่อนำเสนอแคมเปญเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะบุคคล (Remarketing & Personalized Campaigns) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดการขาย  นอกจากนี้ยังขยายสู่ช่องทาง Offline เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น ในช่วงปลายปี ในรูปแบบซอง Single Dose ราคา 59-79 บาท จากปัจจุบันเน้นจำหน่ายในช่องทาง E-commerce และ TikTok เป็นหลักซึ่งมียอดขายกว่า 50% จากช่องทางดังกล่าวซึ่งมองว่าเป็นช่องทางสื่อสารและสร้างกระแสไวรัลที่ดีที่สุด

 

 

“ตอนนี้สิ่งที่เราจะขับเคลื่อนเพิ่มเติมก็คือโรงพยาบาล แล้วก็กลุ่มที่เป็น Pharmacy เพราะว่าคุณหมอรีเควสเยอะมากค่ะ โรงพยาบาลกรุงเทพ, บำรุงราษฎร์ ก็น่าจะเข้าไปในเร็วๆนี้  เพราะเราอยากให้มองว่ากลุ่มที่เป็น Functional Drink, Concentrated Liquid เป็น Medical Grade”

ขณะที่แผนระยะยาววางเป้าสู่การขยายสู่ตลาดโลกทั้ง สหรัฐอเมริกา อย่างเต็มตัว โดยตั้งเป้าจะนำสินค้าเข้า Walmart และ Amazon ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าไทยถึง 10 เท่า และมีฐานการผลิตที่อเมริการองรับไว้แล้ว โดยปัจจุบัน RevoMed มี 3 โรงงาน และอยู่ระหว่างการขยายเป็น 4 โรงงาน เพื่อรองรับการผลิต BioActive+ ที่กำลังได้รับการตอบรับอย่างดีในตลาดออนไลน์ และยังสร้างรายได้ให้กับเครือข่าย Affiliate และ Distributor ผ่านค่าคอมมิชชั่นหลายสิบล้านบาทในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

ทั้งหมดเพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารเสริมไทยยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง หลังผู้บริโภคยุคใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพ ความงาม และการดูแลตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดอาหารเสริมไทยมีมูลค่าสูงถึง กว่า 90,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่ม Liquid Supplement และ Functional Supplement ที่เติบโตอย่างโดดเด่น จากความต้องการสินค้าที่ “ดื่มง่าย ดูดซึมเร็ว และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เร่งรีบ

แม้การก้าวออกมาสร้างแบรนด์เองจะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ แต่ “คุณเมย์” มองว่าคุณค่าที่สำคัญที่สุดคือ Trust ผู้บริโภคต้องเชื่อมั่นได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์มาจากกระบวนการที่โปร่งใสและมีคุณภาพสูงสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอเลือกจะออกมาสื่อสารด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นโดยตรงกับผู้บริโภคและพาร์ทเนอร์  โดยคาดหวังว่าใน 5 ปี BioActive+ จะเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และทำรายได้ที่ 20,000 ล้านบาท

ท้ายที่สุดแม้จะเลือกออกมาพัฒนาแบรนด์ของตัวเอง แต่ “คุณเมย์” บอกว่ายังให้ความสำคัญกับธุรกิจรับจ้างผลิตหรือ OEM อยู่ เนื่องจากแกนหลักและความเชี่ยวชาญประสบการณ์ยังสามารถดำเนินงานได้ดี บวกกับยังมีลูกค้าเข้ามาจำนวนมากเพราะเห็นความสำเร็จที่ผ่านมา ดังนั้นการพัฒนา BioActive+ ขึ้นมาเอง และประสบความสำเร็จได้ดีจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจเข้ามาใช้บริการของลูกค้าในส่วนของ OEM มากขึ้น


แชร์ :

You may also like