แฟรนไชส์ (Franchise) หนึ่งในโมเดลหลักของธุรกิจอาหารที่หลายเชนน้อย-ใหญ่ต่างเลือกนำมาใช้ในการขยายสาขา ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรายย่อยได้มามีส่วนร่วมในการขยายกิจการ เพราะด้วยจุดแข็งที่สร้างการเติบโตผ่านการขยายที่รวดเร็ว เข้าถึง แถมยังคงคุณภาพของแบรนด์แล้ว (ตามมาตรฐานของเจ้าของแฟรนไชส์) โมเดลดังกล่าวยังถือว่ายังช่วยกระจายความเสี่ยงลดภาระในการบริหารสาขาแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับ ไมเนอร์ ฟู้ดฯ หนึ่งในผู้นำธุรกิจอาหารของไทยในเครือไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่เร่งเครื่องภายใต้กลยุทธ์เร่งเครื่องสู่ความเป็น “โกลบอลแฟรนไชส์” เดินหน้าปั้นแบรนด์ในเครือให้กลายเป็น “แบรนด์ส่งออก” เต็มรูปแบบ หลังประสบความสำเร็จในการขยายแฟรนไชส์ในประเทศ
คุณธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในไทยรวมถึงทั่วโลกอยู่ในช่วงฟื้นตัวและยังมีช่องทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไมเนอร์ ฟู้ด จึงเดินหน้ากลยุทธ์ “Passion for Growth” เพื่อขับเคลื่อนสร้างการเติบโตให้องค์กร ตลอดช่วงปี 2568-2572 โดยมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับโมเดลธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรแฟรนไชส์ในตลาดศักยภาพทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุนและผลตอบแทน
โดยปัจจุบัน ไมเนอร์ ฟู้ด มีพอร์ตธุรกิจกว่า 30 แบรนด์ และร้านค้ากว่า 2,700 สาขาใน 24 ประเทศ โดยเป็นร้าน แฟรนไชส์ จำนวน 1,300 สาขา หรือคิดเป็น 48% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ในอนาคต

คุณธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท
“ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเร่งปูพรมโมเดลแฟรนไชส์อย่างจริงจัง เป้าหมายจากนี้คือการยกระดับแบรนด์ไทยสู่แฟรนไชส์ระดับโลก” คุณธันยเชษฐ์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจร้านอาหารของ ไมเนอร์ ฟู้ด จะมุ่งดำเนินงานผ่าน 3 แกนหลัก ประกอบด้วย
ขยายแบรนด์แฟรนไชส์ในประเทศไทยให้ครอบคลุมมากขึ้น
แม้จะมุ่งสู่เวทีโลก แต่ “ประเทศไทย” ยังคงเป็นตลาดหลัก โดย 2 ใน 3 ของสาขาทั้งหมดอยู่ในไทย กลยุทธ์ใหม่คือการขยาย “นอกศูนย์การค้า” ให้แบรนด์เข้าไปใกล้ชุมชนมากขึ้น ด้วยแบรนด์ที่ได้รับความนิยมเช่น บอนชอน (Bonchon) แดรี่ควีน (Dairy Queen) และ กาก้า (GAGA) เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั่วประเทศที่เพิ่มขึ้น พร้อมพัฒนาร้านฟอร์แมทใหม่ ไม่ว่าจะเป็น
Dairy Queen กับโมเดลสแตนอะโลน หรือที่เรียกว่า Dairy Queen stand-alone modular store ที่เปิดร่วมกับร้านสะดวกซื้อที่มีที่จอดรถอย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น และ โลตัส ในการขยายสาขา มีจุดเด่นคือสามารย้ายร้านได้หากอยู่ในทำเลที่ไม่ใช่ โดยที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก ลดความเสี่ยงผู้ประกอบการ โดยโมเดลดังกล่าวจะเน้นเจาะตลาดในช่วง late night หรือ ตอนดึก เนื่องจากพบว่าช่วงเวลาดังกล่าวมียอดขายเติบโตสูงถึง 20% จากช่วงปกติ โดยปีนี้มีแผนขยาย 15 สาขา และจะขยายเพิ่มมากขึ้นในปี 2569
“โมเดล Dairy Queen stand-alone modular store เป็นการเอาแบรนด์ไปอยู่ใกล้ลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในทำเล Residence มหาวิทยาลัย ปัจจุบันสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าสาขาปกติ 15-20% ซึ่งความสำเร็จของโมเดล DQ Modular Format บริษัทแม่จากสหรัฐอเมริกาชื่นชมมาก พร้อมแนะนำทั่วโลกให้นำไปใช้”
The Pizza Company flagship store หลังจากประสบความสำเร็จในการทดลองโมเดลแฟล็กชิปในแบรนด์ Swensen’s ก็ขยายต่อมายังแบรนด์ The Pizza Company โดยได้มีการนำร่องแฟล็กชิป สโตร์ แห่งแรกชื่อ “ร้านพิซซ่าเรือนขนมปังขิง” ที่จังหวัดแพร่ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบคุ้มล้าน และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
Swensen’s Beach Concept สร้างโอกาสใหม่ทางการเติบโตแบบที่ไม่เคยออกนอกห้าง นำร่อง “ร้านไอศกรีมติดทะเล” ที่หาดจอมเทียน พัทยา และ บางแสน โดยขึ้นแท่นท็อป 5 แฟรนไชส์ที่ขายดีที่สุด

GAGA Flagship Store
ส่วนแบรนด์ GAGA และ BonChon คือ 2 แบรนด์แฟรนไชส์ที่เพิ่มเข้ามาและประสบความสำเร็จ ล่าสุดเตรียมเปิด GAGA Flagship Store จากเดิมที่เน้นขยายสาขารูปแบบคีออส 30 ตร.ม. เพิ่มเป็น 60 ตร.ม.
“พอแบรนด์เราแข็งแรงพอ เราก็เป็น Destination อีกแบบหนึ่ง ถ้าเราอยู่แต่ในห้างเราก็จะเป็นเพียง One of the Brands การขยายออกนอกห้างฯเป็นโอกาสทางการเติบโต แต่เราต้องจับ Insights ลูกค้าให้ได้”
ผลักดันการขยายสาขาในต่างประเทศ
ปัจจุบันไมเนอร์ ฟู้ด มีการขยายตลาดไปยังต่างประเทศแล้วหลายแห่งทั้งในกลุ่ม Strategic Countries และการเปิดประเทศใหม่ๆ ทั้งอินโดนีเซีย อินเดีย โดยแผนงานในปีนี้จะขยายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
การโฟกัสอินโดนีเซียมากขึ้น ปัจจุบันขยาย Dairy Queen และ GAGA เข้าไปแล้ว โดยเริ่มจากการเทคโอเวอร์ Dairy Queen เดิมที่มีสาขาไม่ถึง 20 สาขา พร้อมเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องจนทะยานสู่ 38 สาขาในระยะเวลาเพียง 1 ปี ส่วนแบรนด์ GAGA ก็เริ่มจากนำแบรนด์จากไทยเข้าไปขยายจนปัจจุบัน 32 สาขา โดยในปีนี้จะมีแบรนด์อาหารในเครือที่มีศักยภาพ (Hot Chain) เข้าไปเพิ่มอีก
เข้าไปและอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด อินเดีย ปีนี้มีแบรนด์อาหารในเครือที่มีศักยภาพ (Hot Chain) และแบรนด์ของหวานที่จะเข้าไปเพิ่มเติมในปีนี้ เห็น 2 แบรนด์ใหม่ในอินโดนีเซียปีนี้
“อินเดีย อินโดนีเซีย มีศักยภาพด้านประชากรที่มีความ Young มากกว่า สัดส่วนคนรุ่นใหม่ วัยทำงานยังเติบโตสูง มีกำลังซื้อมาก และเรื่องของเศรษฐกิจ กลุ่มประเทศเหล่านี้เติบโตเร็ว ขณะที่แบรนด์ของเราก็มีความแข็งแกร่งพอที่จะไปแข่งขันในประเทศนั้นๆ”
ขยายกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง หลังจากนำ Coffee Club เข้าไป ปีนี้นำแบรนด์ Benihana The Japanese Steakhouse (เบนิฮานา) เข้าไปขยายเพิ่มเติมโดยมีการปรับโมเดลให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น หลังประสบความสำเร็จสิงคโปร์ และมาเลเซีย ไม่ว่าจะเป็น การปรับร้านให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยปี 2568 นี้จะได้เห็นการเปิดสาขาอย่างเป็นทางการอย่างแน่นอน
การพัฒนาและขยายแบรนด์ใหม่
ตอบโจทย์เทรนด์อาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านการพัฒนาเอง การร่วมลงทุนกับพันธมิตร รวมถึง การเข้าซื้อแบรนด์ที่มีศักยภาพ ตัวอย่างเช่น การเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ (The STEAK & MORE) ที่ไมเนอร์ ฟู้ด พัฒนาขึ้นมาเองเพื่อมาตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบรับประทานสเต็กรสชาติเข้มข้น ในราคาที่คุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่าย ปัจจุบันขยายไปแล้ว 5 สาขา
ทั้งหมดเพื่อบรรลุเป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2572 ไมเนอร์ ฟู้ด ตั้งเป้ามีจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งสิ้นกว่า 4,500 ร้าน ซึ่งเป็นร้านแฟรนไชส์จำนวนกว่า 2,500 ร้าน หรือคิดเป็น 56% ของพอร์ตธุรกิจทั้งหมด พร้อมตอกย้ำว่ากลยุทธ์ดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยยกระดับแบรนด์ในเครือสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก
“ที่ผ่านมาเรา Import แบรนด์เข้ามาทำตลาดในไทย แต่จากนี้เราจะเน้น Export แบรนด์ออกไปมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมาย Passion for Growth พร้อมทั้งเติบโตแบบดับเบิ้ลดิจิตตลอดช่วง 3-5 ปีนับจากนี้” คุณธันยเชษฐ์กล่าวทิ้งท้าย







