
ถือเป็น Trendsetter ของผู้บริโภคยุคใหม่ของแต่ละ Gen ที่กำลังเติบโตและมีพฤติกรรมแตกต่างจากยุคก่อน
คุณนัฐกาญจน์ วัฒนมงคลศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย ฮิวแมน แล็บ และหัวหน้าแผนกวางแผนกลยุทธ์ สปา-ฮาคูโฮโด และ คุณพิมพิศา จุฬา เทิดทูลทวีเดช ผู้อำนวยการวางแผนโซลูชั่นทางธุรกิจ หน่วยงานแพลนท์ (Plant) สปา-ฮาคูโฮโด ร่วมกันเปิดเผยผลวิจัยล่าสุด Daring Palette ในกลุ่มผู้บริโภค 4 Gen ซึ่งแต่ละ Gen มีสเปคตัมแตกต่างกันในการใช้ชีวิต จากมุมมองทัศนคติของ Gen
เพื่อให้นักการตลาดเข้าใจจิตใจของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ลึกกว่าระดับ Demographic หรือ Lifestyle เปรียบเสมือนเลนส์ที่มองเห็นแรงผลักดันจากข้างใน ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจที่แบรนด์ควรเข้าใจ สรุปพฤติกรรมและกลยุทธ์การตลาดของ 4 Gen ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เปรียบได้กับเฉดสี Fluorescence (สีเรืองแสง) สื่อถึง “ความกล้า” (Courage / Boldness) และกระตุ้นความรู้สึกให้โดดเด่น แตกต่าง และกล้าการแสดงออก สรุปผลวิจัยดังนี้
1. Gen B (Baby Boomer) อายุ 60+ ปี หรือกลุ่ม The Timeless experimenters “เริ่มแซ่บหลัง 60”
– เป็นกลุ่มผู้สูงวัยยุคใหม่ ที่ไม่ยอมจำกัดชีวิตไว้แค่ตัวเลขอายุ เรียกว่า “แก่แต่เก๋า” กล้าลอง กล้าเปลี่ยน ใช้เวลาทุกวันให้มีความสุข จัดอยู่ในเฉดสี Experimenting green
– ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Yougov)
50% มองว่าหลังวัย 60 คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการเริ่มต้นสิ่งใหม่
64% คิดว่าตนเองดูอ่อนกว่าวัยจริง
75% กระตือรือร้นอยากเรียนรู้สิ่งใหม่
– ทัศนคติใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ทำกิจกรรมต่างจากเดิมที่ไปวัดสวดมนต์ แม้ร่างกายอาจไม่เอื้ออำนวย แต่ใจไหว ออกนอกบ้านไปทำกิจกรรมกีฬาเอ็กซ์ตรีม ท่องเที่ยวคนเดียวไม่รอลูกหลานพาไป เป็นการกลับมาใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเคยฝันไว้
– การลงทุนนอกจากฝากเงิน พันธบัตรรัฐบาลต่างๆ ปัจจุบันกล้าลองลงทุน คริปโต, อาร์ตทอย
– ให้ความสำคัญกับสุขภาพ โดย 41% ลงทุนกับสุขภาพและเวลเนส
– เก็บสะสมประสบการณ์ใหม่ๆ โดย 37% จ่ายเงินเพื่องานอดิเรก และ 24% ใช้จ่ายเพื่อ Up-skills เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
– เป็นกลุ่มที่มีเวลามาก ใช้เวลาอยู่กับสื่อโซเชียลมีเดีย และผันตัวเองเป็น Greyfluencers (grey + influencer) เป็นคอนเทนต์ ครีเอเตอร์วัยเก๋า บนแพลตฟอร์ม Tellscore มีกลุ่ม Greyfluencers ราว 85,000 คน เติบโตทุกปี
– Gen B ในประเทศไทย 40% บอกว่าไม่มีแผนเกษียณ จะทำงานไปจนกว่าจะถูกเลิกจ้าง
Greypathy marketing กลยุทธ์การตลาดเจาะ Gen B
โอกาสนักการตลาดในการเปลี่ยนมุมมองต่อ Gen B ที่เป็น Timeless experimenters ผ่านเลนส์ใหม่ที่แตกต่างจากความเข้าใจเดิมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทำการตลาด
ด้วยกลยุทธ์ “Greypathy marketing” หรือการทำการตลาดที่ยังตอบโจทย์อายุที่เพิ่มมากขึ้นด้านกายภาพ ในขณะเดียวกันเพิ่มเติมการตอบโจทย์ด้านจิตใจด้วย Insights ของ Gen B ที่กลับไปเป็นเด็กยิ่งขึ้น เพราะวันนี้การที่ร่างกาย มีอายุมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าจิตใจเป็นแบบนั้นเช่นเดียวกันอีกต่อไป
สำหรับชีวิตที่เป็น Active retirement มุมมองของการทดลองและความท้าทาย จิตวิญญาณของความกล้า (Adventurous spirit) มีมากขึ้น โอกาสทางการตลาด เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยว ที่มีความเป็น เอกลักษณ์รวมถึง กิจกรรมความผาดโผนในรูปแบบใหม่ๆ แต่แน่นอนต้องเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย หรือธุรกิจอาหารสุขภาพ และการออกกำลังกายที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ เช่น กลุ่ม Personal trainer หรืองานอดิเรกที่เน้นประสบการณ์มากกว่าผลิตภัณฑ์ มีโอกาสสูงในวันที่ Gen B เปิดรับความเชื่อในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น
การมี Financial security advisor ที่สามารถแนะนำการลงทุนในรูปแบบใหม่ เป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจกับกลุ่มที่มีเวลาศึกษาและมีเงินเก็บพร้อมลงทุน
ขณะที่แพลตฟอร์มการเรียนรู้ใหม่ๆ รวมถึงการสอน Connectivity ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เหมาะกับอุปนิสัย Gen B จะสามารถทำให้นักการตลาดเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำอีคอมเมิร์ซที่ใช้งานง่าย เพราะเจนนี้มีเวลาช้อปออนไลน์ไม่จำกัด
โอกาสสำคัญที่สุด Premiumization เป็นไปได้เสมอสำหรับทุกธุรกิจที่จะมาตอบโจทย์ Gen B ที่พร้อมจะจ่ายเพื่อสิ่งที่ดีกว่าในบั้นปลาย เพราะมีเงินเก็บจำนวนมาก
2. Gen X อายุ 43-59 ปี หรือกลุ่ม The Daring leapers “แกร่งทะลุกรอบ”
– เป็นกลุ่มเดอะแบกที่ตัดสินใจกระโจน ออกจากกรอบชีวิตเดิมๆ (comfort zone) เพื่อค้นหาอิสระ ความสุข และจุดหมายใหม่ที่เป็นของตัวเอง จัดอยู่ในเฉดสี Fearless yellow
– ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Yougov)
61.4% ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง การใช้ชีวิตอย่างสนุก
50.7% ไม่ชอบวางแผนระยะยาว
60% ของ Gen X ใช้วันหยุดเพื่อหนีจากความเครียด
– กลุ่มนี้จากเดิมที่เป็นเดอะแบกดูแลครอบครัว ปัจจุบันมองความสุขของตัวเองก็สำคัญ จึงออกไปเที่ยวกับเพื่อนและเดินทางเที่ยวเอง (มีสัดส่วนไปเที่ยวกับครอบครัวลดลง)
– มาถึงจุดที่ว่า Now or Never คือทางเลือกที่จะต้องใช้ชีวิต “ทำหรือไม่ทำ” พบว่าช่วงอายุ 40 กลางถึง 50 ต้น ยังไม่สายที่จะฉีกกรอบ ต้องการลาออกจากงานที่เป็นลูกจ้าง มาเป็นนายตัวเองหรือทำธุรกิจเองมากขึ้น
– พร้อมเมื่อไหร่ก็แต่งงาน จึงไม่ได้ดูอายุอีกต่อไป การแต่งงานตอนอายุ 40-50 ปี ไม่ใช่เรื่องสายไป จึงเห็นคุณแม่วัยหลักสี่มากขึ้น
– จากเดิมกลุ่มเดอะแบกใส่ใจและใช้จ่ายเพื่อดูแลคนอื่นมาเยอะแล้ว วันนี้หันมาดูแลตัวเอง พัฒนาทักษะของตัวเอง ทั้ง Re-skills โลกเดิมและ Up-skills โลกใหม่ เรียนรู้ทักษะ AI
– Gen X ต้องการพัฒนาและอัพเกรดตัวเองเพื่อแข่งขันได้กับ Gen Y และ Gen Z เช่น การดูแลรูปร่าง (ปลดล็อกร่างทอง) ในวัย 50 ปีขึ้นไป โดย 71.6% พร้อมจ่ายเงินเพื่อดูแลความสวยความงาม เพราะทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง
Sandwich marketing กลยุทธ์การตลาดเจาะ Gen X
สำหรับกลุ่ม Gen X ที่กลับมาเริ่มให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วความอยู่กึ่งกลางของชีวิต ที่ต้องแบกรับทั้งสองโลกของรุ่นพ่อแม่รวมทั้งลูกของตัวเอง
กลยุทธ์ที่จะใช้ในการเข้าหากลุ่มนี้คือ “Sandwich marketing” โดยเฉพาะการเข้ามาช่วยตอบความเป็น Multigeneration care provider ที่สามารถสนับสนุนให้ Gen X สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องวิตกกังวล
ดังนั้นธุรกิจที่ตอบโจทย์คนหลายรุ่น เช่น Home hybrid security หรือ Parenting resources จะช่วยให้แบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตกลุ่ม Gen X ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการทำ Preventive care ในรูปแบบ Subscription model ที่สามารถทำให้ Gen X กลับมาดูแลตัวเองได้ในรูปแบบง่ายๆ เสมือนมีคนมาช่วยวางแผนให้ก็สามารถทำให้เข้าถึงกลุ่มนี้ได้ดีเช่นกัน
อีกธุรกิจที่น่าสนใจคือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว เช่น กลุ่มวางแผนการมีบุตรและการเจริญพันธุ์ (Fertility clinic) เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถ เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับ Gen X ที่อยากสร้างครอบครัวในวันที่พร้อมโดยไม่มีอายุเป็นกฎเกณฑ์ (การวางแผนครอบครัว การมีลูก)
ในส่วนของเรื่องการเรียนรู้กลุ่ม Gen X ไม่เคยหยุดในการพัฒนาดังนั้นเพราะยังต้องการเติบโต ให้เหนือกว่า Younger Generations ดังนั้น Workshops และแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนกับการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้ เสริมสร้างทักษะและองค์ความรู้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
3. Gen Y อายุ 28-42 ปี The Architect of Now “เดี๋ยวนี้นิยม”
– เป็นกลุ่มที่ออกแบบชีวิตด้วยตนเอง กล้าฉีกกรอบสังคมเพื่อใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเอง “เดี๋ยวนี้” สำคัญที่สุด กลุ่มนี้จัดอยู่ในเฉดสี “Now red”
– ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Yougov)
54.4% ตัดสินใจแบบฉับพลัน เชื่อสัญชาตญาณ ตามใจตัวเอง
37.9% มองว่าการมีหนี้ตอนวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติ
66.9% ชอบสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
– การเปลี่ยนแปลงของกลุ่ม Gen Y จากเดิมมีครอบครัวพ่อแม่ลูก ยุคนี้มองว่าไม่จำเป็นต้องแต่งงาน อยู่เป็นโสดได้ หรือมีความสัมพันธ์แบบหลากหลาย ไม่ใช่แค่หญิงชาย
– จากครอบครัวสำคัญที่สุด ยุคนี้ตัวเองสำคัญที่สุด การใช้ชีวิตความสุขไม่ใช่เป้าหมาย เพราะความสุขคือทุกโมเมนต์ที่หายใจ ความสุขคือ “ตอนนี้” ไม่ใช่อนาคต
– จากโลกสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ปัจจุบันผู้หญิง Gen Y เป็น CEO และเจ้าของบริษัทมากขึ้น
– จากความสวยแบบเดียว ยุคนี้มีความงามมีหลากหลายมิติ ผู้ชาย Gen Y ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมาก โดย 59.1% ของชายไทยมองเสื้อผ้า ความงาม ใช้ได้โดยไม่ต้องระบุเพศ คลินิคความงามที่เป็นบริการสำหรับผู้หญิง ปัจจุบันให้มีบริการตอบโจทย์ความงามทั้งผู้หญิงและผู้ชายในสัดส่วนเท่ากัน 50:50
– พบว่า 40.5% ของคนโสด Gen Y เป็นกลุ่ม Pet Parent ยอมจ่ายดูแลสัตว์เลี้ยงปีละ 41,000 บาทต่อตัว
Indulgence marketing กลยุทธ์การตลาดเจาะ Gen Y
สำหรับกลุ่ม Gen Y ที่มีความเป็น Me-first generation และแคร์ความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง การเข้าถึงกลุ่มนี้ด้วยกลยุทธ์ “Indulgence marketing” การตลาดแบบปรนเปรอ เพื่อทำให้มีความสุขตอนนี้
ดังนั้นธุรกิจที่เข้าใจในการที่ทำให้ Gen Y สามารถรู้สึกถึงความสุขได้อย่างทันที ไม่ว่าจะผ่านการทำ FOMO marketing ที่ทำให้ Gen Y ไม่รู้สึกตกกระแส และทำให้รู้สึกดีได้เดี๋ยวนี้ก่อนใคร จะสามารถเข้าถึง Gen Y ได้ง่ายขึ้น
รวมทั้งธุรกิจที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบความคิดของ Gen Y ในเชิงการสร้างครอบครัว ที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นลูก หรือโลกที่เปลี่ยนไปของทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่เปิดกว้างขึ้น เช่น การที่ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นทางสังคม หรือผู้ชายที่หันมาดูแลความสวยงามของตัวเอง ยังเป็นโอกาสที่ทำให้นักการตลาดสร้างโอกาสที่จะทำให้แบรนด์เข้าไปยืนในใจกลุ่มนี้ได้ดี
สำหรับกลุ่ม Gen Y ที่อารมณ์และความรู้สึกอยู่ เหนือเหตุผล การใช้ Influencer marketing สร้างแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่เข้าถึงกลุ่มนี้ได้ดีเช่นกัน
4. Gen Z อายุ 18-27 ปี หรือกลุ่ม The Change Makers “โลกใบใหม่ในมือเรา”
– เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ไม่เดินตามใคร พร้อมท้าทายระบบ คิดต่าง เพื่อสร้างโลกใหม่ที่ยั่งยืน และเท่าเทียมมากขึ้น กลุ่มนี้จัดอยู่ในเฉดสี “Activist purple”
– ข้อมูลเชิงพฤติกรรม (Yougov)
71.6% ปฏิเสธทำงานกับองค์กรที่ขัดกับค่านิยมของตัวเอง
70% มองหาโอกาสลงทุนที่คุ้มค่า
81% แสดงความกังวลต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศ ให้ความสำคัญกับการดูแลโลก
– คติการใช้ชีวิต Gen Z “ฉันไม่ได้มาเพื่อเดินตาม ฉันมาเพื่อเปลี่ยนแปลง”
– จากยุคก่อนเรียนจบ สมัครงานกับบริษัทขนาดใหญ่ แต่ยุคนี้ 70% ต้องการสร้างธุรกิจของตัวเอง เป็นสตาร์ตอัป
– จากเดิมความสำเร็จรอได้ ยุคนี้ความสำเร็จรอไม่ได้ ต้องประสบความสำเร็จเดี๋ยวนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี
– เด็กจบใหม่จากเดิมทำงานเฉลี่ย 4-5 ปี ลาออก ปัจจุบัน 40% Gen Z ลาออกจากบริษัทภายใน 2 ปีแรกของการทำงาน เพราะเป้าหมายไม่ได้อยากเติบโตไปกับองค์กร แต่เข้ามาเรียนรู้ให้มากที่สุดและออกไปลงทุนเองเพื่อความสำเร็จที่รวดเร็ว
– ให้ความสำคัญกับการดูแลสังคม รักษ์โลก มองไกลกว่าตัวเอง คิดเพื่อโลกและความยั่งยืน เพื่อส่งต่อให้รุ่นต่อไป
– เป็น Gen ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงและลงมือทำด้วยตัวเอง สร้างธุรกิจที่ทำให้สังคมดีขึ้น
Tribal marketing กลยุทธ์การตลาดเจาะ Gen Z
สำหรับกลุ่ม Gen Z หรือ The Change Makers เป็นกลุ่มซับซ้อน มองหาการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สำหรับโลกของตนเองและส่วนรวม การเข้าหา Gen Z ควรทำผ่านกลยุทธ์ “Tribal marketing” การทำการตลาดที่มีคอมมูนิตี้ ภาษา และความคิดรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมในมิติเดียวกัน ความเชื่อเดียวกัน ในรูปแบบ Fandom Marketing
การทำให้ Gen Z เห็นว่าแบรนด์มีความจริงใจในการทำการตลาด มีความเชื่อที่เป็นแก่นแท้ที่ตรงกันกับเจเนอเรชั่นนี้จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ได้ในระยะยาวจะเห็นได้จากการเติบโตของ Influencer platform และ Affiliation tactic ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่แท้จริง
ด้านมุมมองความสำเร็จ Gen Z เป็นกลุ่มที่อยากได้ความสำเร็จแบบก้าวกระโดด การรอเดินตามเส้นทางความสำเร็จในชีวิตตามมาตรฐานของสังคม “ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเชื่อ” ดังนั้นโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่น Freelancer platform ที่สนับสนุนให้ Gen Z สามารถสร้างรายได้และกำหนดทิศทางชีวิตตัวเองได้จะสามารถเป็นจุดเชื่อมต่อที่สามารถทำให้แบรนด์เป็นส่วนหนึ่งกับโลกของ Gen Z ที่เป็น Change Makers ได้
ในวันที่ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งและถูกต้อง ในแต่ละ Generation คือเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้แบรนด์สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที นักการตลาดจึงจำเป็นต้อง ปรับจุดยืน ความเชื่อ และพันธกิจของแบรนด์ให้สอดคล้องกับโลกและมนุษย์ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้ยังคงเป็น “ตัวเลือกที่ใช่” และเติบโตเคียงข้างไปกับแต่ละ Gen ได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน
“สปา-ฮาคูโฮโด” เปิดตัว Human Lab
คุณจิรภัทร์ กาญจะโนสถ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด จำกัด กล่าวว่าผลวิจัยล่าสุด “Daring Palette” มาจาก Human Lab (ฮิวแมน แล็บ) หน่วยงานใหม่เพื่อช่วยวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การตลาดเชิงลึกภายใต้แนวคิด “Human-Centric Marketing” หรือการตลาดที่เริ่มต้นจากความเข้าใจมนุษย์ ตามหลักแนวคิดปรัชญา Sei-Katsu-Sha มากกว่าข้อมูลสถิติ แบบผิวเผิน
Human Lab เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า “ความเข้าใจมนุษย์ อย่างลึกซึ้ง” คือหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ และกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้จริง โดยนำองค์ความรู้จาก หลายศาสตร์ เช่น สังคมวิทยา มานุษยวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ และ Data Science มาผสานเข้ากับกระบวน การวางแผนการตลาด ทำให้ Human Lab แตกต่างจากเครื่องมือการวิเคราะห์ผู้บริโภค แบบเดิม ที่มักยึดเพียงตัวเลข หรือเทรนด์ที่ผิวเผิน
ในโลกที่ความซับซ้อนของมนุษย์ไม่อาจมองผ่านแค่สถิติหรืออัลกอริธึม Human Lab จึงทำหน้าที่เป็นเหมือน “เลนส์ใหม่” ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจคนได้ในระดับจิตวิญญาณ พฤติกรรม และบริบททางสังคม
ดังนั้น Human Lab ไม่เพียงเปิดมุมมองใหม่ ในการวางแผนกลยุทธ์ให้กับนักการตลาด แต่ยังช่วยสร้างเครื่องมือความคิด ทางวัฒนธรรม และพฤติกรรมผู้บริโภคที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลง ของยุคสมัยอย่างชัดเจน
โดย Human Lab นำเสนอเลนส์ใหม่เพื่อทำความเข้าใจผู้บริโภคชาวไทยแบบเจาะลึกทั้งข้อมูลทางสถิติและความต้องการเบื้องลึกที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ ที่ไม่ใช่แค่การรวบรวมตัวเลข แต่คือการผสาน ข้อมูลอัจฉริยะ (Data Intelligence) และปัญญามนุษย์ (Human Intelligence) นำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลเชิงลึกที่ไม่มีใครเทียบ เพื่อเผยมิติที่ซับซ้อนหลากหลายเฉดสีของพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่ได้รับผลจากเมกะเทรนด์ (Mega trend) ต่าง ๆ ทั้งในโลกและในประเทศไทย ออกแบบมาสำหรับนักการตลาดที่กำลังมองหาแนวทางที่พร้อมสำหรับอนาคต เพื่อค้นพบแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ เช่น การค้นหาอารมณ์ ความเชื่อ และคุณค่าที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการบริโภค
รวมทั้งคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต เช่น วิเคราะห์พฤติกรรมของ sei-katsu-sha เพื่อให้แบรนด์สามารถ คาดการณ์รูปแบบที่เกิดขึ้นใหม่และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในเชิงรุก ปรับกลยุทธ์การตลาดให้ได้ตรงใจ เช่น ออกแบบแคมเปญที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการตลาดแบบเดิม และวัดผลกระทบและเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้แบบเรียลไทม์
การเปิดตัว Human Lab จึงไม่ใช่เพียงโครงการวิจัยหรือนวัตกรรมการตลาด แต่คือการชวนให้นักการตลาด และแบรนด์กลับมาตั้งคำถามสำคัญว่า “เราเข้าใจมนุษย์จริง ๆ หรือไม่”
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE










