สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เห็นได้จากปริมาณนักท่องเที่ยวในห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีเสียงจากผู้ประกอบการต่างๆโอดครวญถึงผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ บางรายอยู่ได้แต่บางรายถึงกับต้องปิดตัวลง
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Brand Buffet ถึงสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวไทย และประเด็นต่างๆ ว่า
จากรายงานสรุปจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยแบ่งตามรายสัญชาติ พบว่าตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 – 18 พ.ค.2568 นักท่องเที่ยวภาพรวมอยู่ที่ 13.4 ล้านคน ลดลง 1.75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยประเทศที่มีอัตราการลดลงมากที่สุด คือ “จีน” เดินทางมา 1,829,439 คน ลดลง 32.05% หรือประมาณ 860,000 คน จากเดิมปี 2567 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทย 2,692,700 คน
จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย (1 ม.ค. 2568 – 18 พ.ค.2568)
- จีน 1,829,439 คน (-32.05%)
- มาเก๊า 11,844 คน (-24.21%)
- ฮ่องกง 227,446 คน (-22.17%)
- เวียดนาม 292,075 คน (-16.34%)
- เกาหลีใต้ 637,553 คน (-15.79%)
แม้ว่าตลาดอาเซียนและเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือจะหดตัวลง เนื่องด้วยขาดความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่างๆ ทั้งแกงค์คอลเซนเตอร์ ธุรกิจสีเทาผิดฏหมาย และ แผ่นดินไหว แต่กลุ่มเอเชียอีกหลายประเทศกลับมาอัตราการเพิ่มขึ้น โดยตลาดสำคัญๆ เช่น ศรีลังกา (+91%) ภูฐาน (+50.4%) ฟิลิปปินส์ (+32%) อินเดีย (+15%) เป็นต้น พร้อมกับการขยายตัวของภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งทำให้ภาพรวมทั้งประเทศตลอดช่วง 4 เดือนกว่า มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 13.4 ล้านคน ลดลงไป 239,210 คน จากปี 2567 หรือคิดเป็นอัตรา –1.75%
อัตราการขยายตัวแบ่งตามกลุ่มประเทศภูมิภาคต่างๆ
- ยุโรป 3,660,000 คน (+16.41%)
- กลุ่มอเมริกา 661,041 คน (+12.88%)
- โอเชียเนีย 347,051 คน (+15.68%)
- ตะวันออกกลาง 358,246 คน (+32.05%)
- แอฟริกา 62,749 คน (+33.44%)
- เอเชีย 8.31 ล้านคน (-10.55%)
ปรับโครงสร้างใหม่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ
นางสาวฐาปนีย์ อธิบายเสริมว่า “ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนปีที่แล้วทั้งปี 6.7 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% ของทั้งตลาด การที่นักท่องเที่ยวลดลง มีส่วนมาจากผลกระทบของ ธุรกิจสีเทา คอลเซ็นเตอร์ การลักพา รวมไปถึง เหตุการณ์แผ่นดินไหว ยิ่งทำให้มีความหวาดกลัว โดยเฉพาะภาพข่าวตึกถล่มก็อยู่ในโซเซียลมากมาย จึงทำให้ตัวเลขของจีนก็เลยตกค่อนข้างเยอะ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวภายในประเทศจีนเอง และ การเล่นกลยุทธ์ราคาของประเทศเวียดนาม
เราคิดว่าสามารถทดแทนตัวเลขของจีนได้ แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง แต่จากการประมาณการณ์จำนวนรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 5% อย่างแน่นอน (หรือราว 2.78 ล้านล้านบาท ) ซึ่งหมายถึงเราเข้าถึงนักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้น เน้นในเรื่องมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ได้ทั้งคุณภาพและได้ปริมาณ จากการขยายไปตลาดใหม่ๆ
แต่นักท่องเที่ยวแบบ Mass เราก็ยังคงต้องการ แต่ถึงเวลาปรับโครงสร้างให้เกิดนักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้น พร้อมกับปราบปรามธุรกิจสีเทากินรวบ ให้เหลือน้อยลง เพื่อเพิ่มสัดส่วนกลุ่ม FTI ให้ใช้จ่ายกับธุรกิจในประเทศจริง”
เจาะประเทศใหม่ทดแทน “จีน”
กลุ่มตลาดคุณภาพที่สามารถทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ที่หายไป คือ ประเทศกลุ่ม South Asia อย่าง อินเดียจะมาช่วยทดแทน เพราะจำนวนทะลุเป้าไปถึง 8-9 แสนราย ตั้งเป้าให้ถึง 2.4-2.5 ล้านคนทั้งปี เพราะมีการเพิ่มเที่ยวบินและเพิ่มเครื่องบินใหม่มายังไทยด้วย รวมไปถึงตลาดยุโรปเช่นกันที่โต 16.6% หรือคิดเป็น 3.6 ล้านคน
หรือกลุ่ม Middle East อย่างคูเวต จอร์แดน บาร์เรน ที่มีอัตรากำลังการซื้อสูงต่อหัว และประเทศที่มาแรง คือ ซาอุดิอาระเบีย ที่ได้อานิสงส์จากการเปิดสัมพันธไมตรีใหม่ทำให้มีนักท่องเที่ยวสูงถึง 5.5 หมื่นคน ซึ่งแซงหน้า UAE ที่ทำตลาดมานานกว่า จึงตั้งเป้าดันจำนวนนักท่องเที่ยวซาอุดิอาระเบียให้ถึง 2 แสนคนขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ที่เติบโตเกือบทุกประเทศ จนมีตัวเลขนักท่องเที่ยวเป็น Million Market เติบโต 14% หรือ 1.1. ล้านคนไปแล้ว
คัมภีร์ 3 ดอก ดันการท่องเที่ยวไทย(อีกครั้ง)
1. ได้ความปลอดภัยจากอุบัติเหตุ/ธุรกิจสีเทา คือ ต้องสร้างความเชื่อมั่น มีความปลอดภัยระหว่างท่องเที่ยว โดยภาครัฐต้องจริงจังในการใช้กฏหมาย
2. ได้คุณภาพสินค้าและบริการ คือ แหล่งท่องเที่ยว กิจกรรม/สิ่งอำนวยความสะดวก แก่นักท่องเที่ยว การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว
3.ได้ประสบการณ์ คือ สร้างความประทับใจและรู้สึก wow แล้วนักท่องเที่ยวจะยอมจับจ่ายในราคาที่สูงขึ้น
” wow ยุคนี้คือ Sustainability + Innovation ตัวอย่างเช่น ฉงชิงที่การท่องเที่ยวเติบโตสูงสุดของโลก มีทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และ นวัตกรรม รวมไปถึงกำลังต่อยอดไปเรื่องความยั่งยืน ความปลอดภัยในการท่องเที่ยว เช่น ตำรวจคุมตลอดในสถานทีท่องเที่ยว หรือ จุดคัดกรองจำนวน “
เร่งสร้างความเชื่อมั่น ความปลอดภัย สู่ Premium & Preferred Destination
สำหรับไทยเองต้องสร้างความเชื่อมั่นความปลอดภัยให้ต่อเนื่อง และ พัฒนาสินค้า/บริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทย Premium & Preferred Destination การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่ทุกคนอยากมาในราคาที่เหมาะสม ได้ทั้งคุณค่าและประสบการณ์
ขณะเดียวกันภายในประเทศไทย ก็ต้องกระตุ้นไทยเที่ยวไทยด้วย อย่างเช่นจะมีมาตรการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เริ่มได้ใช้กรกฎาคมนี้ และต้องทำอีเว้นท์ บันเทิง สร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้คนได้ท่องเที่ยว
นอกจากนี้ผู้ว่าฯ ยังเสนอทิ้งท้ายว่า รัฐบาลต้องจริงจังกับการปราบปรามธุรกิจสีเทา และใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการเจรจากับรัฐบาลจีนระเบียบในการแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวจีนก่อนมาประเทศไทยที่สร้างความกลัวให้กับนักท่องเที่ยวเกินไป