แม้ทุกวันนี้ “ธุรกิจดิจิทัล เพย์เมนต์” หรือ “e-Payment” ในไทยจะกลายเป็นสมรภูมิ Red Ocean จากคู่แข่งมากมายที่เข้ามาในตลาด และใช้กลยุทธ์ราคาค่าธรรมเนียมถูกมาชิงตลาดมากขึ้น แต่บนการแข่งขันที่สูง การเติบโตของตลาดก็น่าสนใจ นั่นจึงทำให้ “บริษัท เอ็นทีที เพย์เมนต์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด” หรือ “NTT DATA Payment Services” ต้องลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับแบรนด์ ด้วยการรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่เป็น “ADAPTIS” เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และธุรกิจยิ่งขึ้น
อะไรคือ เหตุผลที่ทำให้ NTT DATA Payment Services ต้องรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ Brand Buffet ชวนมาศึกษาวิธีคิด พร้อมทั้งเจาะลึกกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และบุกตลาดของ NTT DATA Payment Services ในไทยนับจากนี้ที่ตั้งเป้าเติบโต 30% ในปีนี้
ตลาด e-Payment แข่งดุ แต่มีช่องว่างให้โตได้อีก
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาด e-Payment ของไทยสนุกขึ้นมาก เพราะตลาดมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากคนไทยคุ้นชินกับการจ่ายเงินแบบไร้สัมผัสมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด ทำให้พฤติกรรมการชำระเงินของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากที่เคยใช้เงินสดในการชำระค่าสินค้าและบริการก็เปลี่ยนมาชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น โดย คุณปริญญา จินันทุยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีที เพย์เม้นท์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า พฤติกรรมคนไทยจะนิยมชำระเงินผ่าน QR Code มากที่สุด ตามด้วยบัตรเครดิต และกระเป๋าเงินดิจิทัล

(จากขวา) คุณฌอน เฮซ ประธานบริหารกลุ่มบริษัท NTT DATA Payment Services, คุณชินอิจิโร่ นิชิกาวะ หัวหน้าสายงาน Global Payments and Services บริษัท NTT DATA Japan และ (ซ้ายสุด) คุณปริญญา จินันทุยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีที เพย์เม้นท์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด
แต่หากเป็นชาวต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับแต่ละชาติ ถ้าเป็นชาวจีน จะนิยมกระเป๋าเงินดิจิทัลมากที่สุด อย่าง Alipay และ WeChat รองลงมาคือ บัตรเครดิต ส่วนยุโรป และอเมริกา จะนิยมใช้บัตรเครดิตมากที่สุด
จากแนวโน้มตลาด e-Payment ที่มีการเติบโตต่อเนื่องนี่เอง จึงทำให้ NTT DATA Payment Services ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันชำระเงินสัญชาติญี่ปุ่น โดยปัจจุบันมีเครือข่ายจุดรับชำระเงินกว่า 500,000 จุด ทั้งในประเทศมาเลเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ เห็นโอกาสและต้องการสร้างการเติบโตในตลาดไทยมากขึ้น จึงตัดสินใจเข้าซื้อกิจการของ “จีเอชแอล” (GHL) ซึ่งมีฐานลูกค้าครอบคลุมทุกเซ็กเม้นต์
รีแบรนด์ ส่ง ADAPTIS เติมเต็มความต้องการของตลาด
จากนั้นก็นำมาสู่การเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น “บริษัท เอ็นทีที เพย์เมนต์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด” เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อีกทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ คุณฌอน เฮซ ประธานบริหารกลุ่มบริษัท NTT DATA Payment Services บอกว่า บริษัทก็มีการปรับใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และจุดยืนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทแม่ที่มีเพียงแบรนด์หลักแบรนด์เดียวในการทำตลาดบริการรับชำระเงิน จึงเป็นที่มาของการรีแบรนด์ใหม่มาสู่ชื่อ “ADAPTIS” รวมถึงเปิดตัวโซลูชันชำระเงินใหม่ในชื่อ ADAPTIS มาเป็นหัวหอกในการบุกตลาดครั้งนี้
“แม้ในตลาดจะมีผู้เล่นจำนวนมาก แต่เราเห็นธุรกิจจำนวนมากมองหาโซลูชั่นชำระเงินที่ใช้งานง่าย และมีความยืดหยุ่น ซึ่งในตลาดยังไม่มีใครให้บริการ บริษัทจึงนำความต้องการเหล่านี้มาผสานกับความเชี่ยวชาญระดับโลกของ NTT DATA Japan ในการพัฒนาโซลูชั่น กระทั่งออกมาเป็น ADAPTIS”
คุณชินอิจิโร่ นิชิกาวะ หัวหน้าสายงาน Global Payments and Services บริษัท NTT DATA Japan บอกถึงช่องว่างที่ NTT DATA Payment Services มองเห็นในตลาด นั่นจึงทำให้ ADAPTIS แตกต่างจากโซลูชั่นชำระเงินทั่วไป เพราะไม่เพียงโซลูชั่นจะใช้งานง่าย แต่ยังปลอดภัย และสามารถ Customized ได้ตามความต้องการของธุรกิจในแต่ละประเทศ จึงตอบโจทย์ได้ทุกธุรกิจ ตั้งแต่ธนาคาร ไปจนถึงร้านค้าออนไลน์ และทำธุรกิจในหลากหลายช่องทาง
ลุยสร้าง Brand Awareness ต่อเนื่อง มั่นใจดันรายได้โต 30%
แม้ ADAPTIS จะแตกต่างจากโซลูชั่นรับชำระเงินทั่วไป แต่ก็เป็นการรีแบรนด์ใหม่ จึงทำให้บริษัทต้องเดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยคุณปริญญา บอกว่า สิ่งที่จะเห็นจากนี้ คือ การปรับแบรนด์บนเครื่องรับชำระเงินตามร้านค้า และเครื่อง EDC ของธนาคารที่มีกว่า 130,000 จุด มาเป็นชื่อ ADAPTIS รวมไปถึงเว็บไซต์ และจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสื่อสารแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนจะเพิ่มจุดชำระเงินอีกกว่า 26,000 จุด ควบคู่กับการพัฒนาวิธีชำระเงินและบริการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริการต่างๆ เพื่อเพิ่ม Value Added ให้กับผลิตภัณฑ์มากขึ้น ยกตัวอย่างบริการ e-Tax Invoice ซึ่งเกิดจากการเห็น Pain ที่ลูกค้าต้องใช้เวลาในการขอประมาณ 10 – 20 นาที จึงพัฒนาโซลูชั่นที่ทำให้สามารถทำได้ภายในไม่ถึง 1 นาที ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ก็แค่เสียบบัตรประชาชนในเครื่อง แต่ถ้าเป็นนิติบุคคล เพียงใส่เลขบัตรประจำตัวนิติบุคคล 13 หลัก ระบบจะเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พร้อมกรอกข้อมูลให้เรียบร้อย จากนั้นจะส่งกลับมาเป็น QR Code พนักงานหน้าร้านก็จัดส่งให้ลูกค้าได้เลย ซึ่งอนาคตก็จะเห็นบริการใหม่ๆ ออกมาเพิ่มขึ้น
จากแผนการบุกตลาดเชิงรุก และการยึดลูกค้าเป็นตัวตั้งในการพัฒนาสินค้ามาตลอด ทำให้คุณฌอน มองว่า จะช่วยผลักดันแบรนด์ ADAPTIS ให้เติบโตได้ภายใน 12-18 เดือนนับจากนี้ ส่วนในแง่รายได้ คุณปริญญา เชื่อว่า แม้สภาพเศรษฐกิจจะท้าทาย แต่ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ที่ 30% จากปีที่แล้ว
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE





