หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนําเข้าสินค้าจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 กระแสตอบรับก็เกิดขึ้นทันทีทั่วทั้งภูมิภาค อัตราภาษีที่ประกาศมีตั้งแต่ 49% สำหรับสินค้ากัมพูชา ไปจนถึง 10% สําหรับสินค้าจากสิงคโปร์และติมอร์-เลสเต โดยมีรายละเอียด ดังนี้
● เวียดนาม: 46%
● กัมพูชา: 49%
● ลาว: 48%
● เมียนมา: 44%
● ไทย: 36%
● อินโดนีเซีย: 32%
● บรูไน: 24%
● มาเลเซีย: 24%
● ฟิลิปปินส์: 17%
● สิงคโปร์: 10%
● ติมอร์-เลสเต: 10%
แม้อัตราจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดคือ ความกังวลที่แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค
Milieu Insight จึงได้ทำการสํารวจความคดิเห็นของประชาชนกว่า 6,000 คน ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลปิปินส์เพื่อทําความเข้าใจว่าประชาชนรับรู้และรู้สึกอย่างไรต่อมาตรการใหม่นี้ ผลที่ได้ สะท้อนให้เห็นมากกว่าแค่ระดับการรับรู้ รวมถึงความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจ มาศึกษากันว่า ประชากรในภูมิภาคนี้มีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายนี้บ้าง
ยิ่งรับรู้มาก ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
ผลสำรวจพบว่า 73% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าทราบเรื่องภาษีนำเข้าใหม่ก่อนจะตอบแบบสอบถาม โดยในเวียดนาม ซึ่งได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีในระดับสูง ตัวเลขการรับรู้สูงถึง 84% ขณะที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีในระดับต่ำกว่า มีอัตราการรับรู้อยู่ที่ 56%
อย่างไรก็ตาม ระดับการรับรู้ไม่ได้หมายถึงความสบายใจ เพราะผลตอบแบบสอบถามถึง 72% ระบุว่าตนเอง “ค่อนข้างกังวล” หรอ “กังวลอย่างมาก” ต่อผลกระทบของนโยบายดังกล่าวที่อาจส่งผลต่อชีวิตประจำวัน โดยเวียดนามยังคงแสดงระดับความวิตกสูงสุด โดย 34% ระบุว่ากังวลในระดับมาก
ความกังวลด้านเศรษฐกิจเริ่มก่อตัว
ปัจจัยหลักที่สร้างความวิตก คือความกังวลว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะไมหยุดอยู่แค่ระดับประเทศ แต่จะส่งผลถึงราคาสินค้าในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค โดย 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อวาภาษีนำเข้าจะทำให้ราคาสินค้าทั่วไปสูงขึ้น
ในประเทศไทย ซึ่งมีอัตราภาษีอยู่ที่ 37% มากกว่าครึ่งของผตอบแบบสอบถามคาดว่าราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มสินค้าที่ประชาชนมองว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่มและรถยนต์
ในสิงคโปร์ 73% เชื่อว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะได้รับผลกระทบมากที่สด ขณะที่ในฟิลิปปินส์ 67% ชี้ไปที่กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม
พฤติกรรมผู้บริโภคกำลังจะเปลี่ยนไป
เมื่อต้นทุนสูงขึ้น ความตั้งใจในการซื้อก็เริ่มเปลี่ยนตาม โดยมากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า ตนจะหันไปใช้สินค้าในประเทศแทนสนค้านำเข้า โดยในอินโดนีเซีย ตัวเลขนี้สูงถึง 64%
นอกจากนี้ 21% ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคกล่าวว่า พวกเขาจะลดการซื้อสินค้านำเข้าลงในภาพรวม ซึ่งอาจสะท้อนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในตลาดผู้บริโภคในระยะยาว
ประชาชนไมได้คาดหวังแค่การปรับตัวของตนเอง แต่ยังรวมถึงภาคธุรกิจด้วย หลายคนเชื่อว่าธุรกิจจะพยายามตอบสนองด้วยการออกโปรโมชั่นมากขึ้น (40%) หรืออาจยอมรับต้นทุนบางส่วนไว้กับตัวเอง (35%) อย่างไรก็ตาม ในสิงคโปร์ กลับมีถึง 59% ที่เชื่อว่าธุรกิจจะผลักภาระต้นทุนให้ผู้บริโภคโดยตรง
ความคาดหวังต่อรัฐบาล
แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะรู้สึกกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีความหวังว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศจะมีบทบาทในการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยนโยบายที่ประชาชนอยากเห็นมากที่สุดคือ นโยบายที่ลดการพึ่งพาสินค้าจากสหรัฐฯ และส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ บางส่วนต้องการให้มีการจัดสรรเงินอุดหนุน ขณะที่บางคนเสนอแนวคิดการทาขอตกลงการค้าใหม่ หรือแม้กระทั่งมาตรการภาษตอบโต้ แม้จะเป็นเสียงข้างน้อยก็ตาม
ความมั่นใจในรัฐบาลของแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป โดยในประเทศไทย มีเพียง 6% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่รู้สึก “มั่นใจมาก” ว่ารัฐบาลจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ ขณะที่ในเวียดนาม 28% แสดงความมั่นใจในระดับสูง ซึ่งอาจสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อความสามารถของรัฐในการจัดการความเปลยนแปลงที่เกิดขึ้น
สิ่งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของภูมิภาค
ท่ามกลางบริบทที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากโควิด-19 การเผชิญกับค่าเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายภาษีชุดนี้อาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่ผลักดันให้หลายประเทศต้องปรับแนวทางการดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างจริงจังมากขึ้น
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากข้อมูลชุดนี้คือ ประชาชนไม่ได้แค่ติดตามข่าว แต่กำลัง “เตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง” ที่อาจเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันจากความหวังอย่างระมัดระวัง ไปจนถึงความไม่ไว้วางใจในอนาคต ภูมิภาคนี้กำลังจับตาทุกการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่แค่ผู้นำประเทศหรือผู้บริหารเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับแรงกดดน แต่ยังรวมถึงประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้บริโภคในทุกระดับ