หนึ่งปัญหาที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยให้ความสนใจ และเริ่มตระหนักว่าเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวมากขึ้น คือ เรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและรุนแรงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุณหภูมิโลกที่ยกระดับจากภาวะโลกร้อนเข้าสู่ยุคโลกเดือด หรือ Global Boiling ส่งผลให้หลายพื้นที่มีสภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น โดยเฉพาะหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของผู้คนในเมือง รวมถึงปัญหาภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรง และเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา
ขณะที่การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน แม้จะอาศัยอยู่ในบ้านก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิภายในบ้านที่ร้อนมากขึ้น ทำให้ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ นอกจากเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าที่แพงมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาสภาพอากาศของโลกให้เพิ่มมากขึ้น จากการใช้พลังงานฟอสซิลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ผู้นำนวัตกรรมสีบ้านเย็นรายแรกของไทย
ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลให้หลายฝ่ายต่างพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาและบรรเทาผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลากลางวันที่อุณหภูมิพุ่งทะลุกว่า 40 องศาเซลเซียส โดยมีหนึ่งผลการศึกษาที่น่าสนใจจากสิงคโปร์และฮ่องกง ที่พบว่า สารไทเทเนียมไดออกไซด์ และ สารแบเรียมซัลเฟต มีประสิทธิภาพช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคารลงได้ จากการทดลองใช้สีทาบ้านที่มีส่วนผสมของสารทั้ง 2 ตัวนี้ ซึ่งช่วยให้อากาศภายในอาคารต่ำลงได้ถึง 2 องศาเซลเซียส และช่วยกระตุ้นความสนใจให้มีผู้เริ่มหันมาศึกษานวัตกรรมของสีทาบ้านเพื่อช่วยลดโลกร้อนเพิ่มมากขึ้น
คุณจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TOA) เปิดเผยว่า TOA ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมสีทาบ้านมากว่า 60 ปีตั้งแต่ก่อตั้ง และเป็นผู้ผลิตสีรายแรกของไทยที่ยกเลิกการใช้โลหะหนัก ปรอท ตะกั่ว ในสีทาอาคารได้สำเร็จ นับเป็นผู้เปลี่ยนวงการตลาดสีทาบ้านจากสีน้ำพลาสติก (PVAC Latex – Poly Vinyl Acetate Copolymer) มาเป็นสีน้ำอะคริลิก (Pure Acrylic 100%) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากอเมริกา และมีอยู่ในสีซูเปอร์ชิลด์ ของ TOA รวมทั้งยังมุ่งมั่นการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้สีที่นอกจากมีคุณภาพที่ดี ยังมีความปลอดภัยทั้งต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน ผู้อยู่อาศัย รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
โดยเฉพาะการพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยี Cooling Paint ที่ช่วยให้บ้านเย็นมาตั้งแต่ปี 2522 หรือกว่า 45 ปีมาแล้ว จากการผสาน Triple Technology ผ่านการทำงานร่วมกันของ ‘ไทเทเนียม แบเรียม และซิลิกา’ ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นและช่วยเสริมการทำงานซึ่งกันและกันทั้งหมดนี้มีอยู่ในสีซูเปอร์ชิลด์ของ TOA มาหลายสิบปีแล้ว โดย สารไทเทเนียมไดออกไซด์ มีคุณสมบัติในการสะท้อนและลดการดูดซึมความร้อน สารแบเรียมซัลเฟต ช่วยกระจายและคายความร้อน ทำให้ไม่มีการเก็บกักความร้อนไว้ที่ผนังบ้าน จึงช่วยให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นลง ไม่ต่างจากการติดตั้งฉนวนกันความร้อน ซึ่งในปัจจุบันในตลาดสีประเทศไทยมีเพียงสีซูเปอร์ชิลด์ของ TOA เท่านั้น ที่มีการผสมสารแบเรียมในผลิตภัณฑ์สีทาบ้าน
นอกจากนี้ ยังมีส่วนผสมของ ซิลิกา ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและคงทนให้สีติดทนนาน ไม่ลอกกลายเป็นฝุ่น เป็นเกราะป้องกันตัวบ้านจากสภาพอากาศที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ความร้อน ความชื้น ซึ่งยังถือเป็นผลิตภัณฑ์รายเดียวในตลาดที่กล้ารับประกันการใช้งานถึง 15 ปี ทำให้ช่วยประหยัดจากการทาสีบ้านใหม่ได้นานเป็นสิบปี จนกลายเป็นสีทาภายนอก ที่ถูกเลือกใช้มากที่สุดในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตึกสูง อาคารชั้นนำ และเจ้าของบ้านมาจนถึงปัจจุบัน
“สีซูเปอร์ชิลด์ ของ TOA ผ่านการทดสอบหลากหลายครั้ง จนได้รับการยอมรับจากสถาบันรับรองจากสถาบันชั้นนำ ในฐานะ สีบ้านเย็นตัวจริงรายแรกของไทย ทั้งร่วมกับสถาบันวิจัย OTM ประเทศสิงคโปร์ จนได้การผลทดสอบว่าสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดีเยี่ยม (Solar Reflectance) ถึง 97.5% ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทดสอบประสิทธิภาพการคายความร้อนจากผนังบ้าน (Thermal Emittance) ได้ 90% ตามมาตรฐาน ASTM C1371 พร้อมช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านให้เย็นลง (Cool Down Temperature) มากถึง 5.5 องศาเซลเซียส ด้วยโปรแกรมการทดสอบ Energy Plus ซึ่งหากนำไปใช้ทาสีบ้านพื้นที่ราว 220 ตร.ม. จะช่วยประหยัดค่าไฟจากการใช้พลังงานที่ลดลงได้กว่า 9,000 บาทต่อปี พร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 285 กรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (gCO2e) เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 1 ต้น เมื่อใช้สีชูเปอร์ชิลด์ทาบ้าน 4 หลัง ดังนั้น หากสามารถขยายการใช้งานได้มากขึ้นก็จะยิ่งส่งผลดีต่อโลกได้มากขึ้นเช่นกัน“
ชู Green Mission ขับเคลื่อน Net zero
เห็นได้ว่า TOA ให้ความสำคัญกับการวิจัย และพัฒนา ขับเคลื่อนนวัตกรรมสีทาบ้านมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มผู้อยู่อาศัยหรือเจ้าของบ้าน ที่มองหาผลิตภัณฑ์คุณภาพในราคาเหมาะสม รวมทั้งกลุ่มผู้พัฒนาโครงการหรือ Developers ที่ต้องการส่งมอบโครงการที่มีทั้งความเข้าใจไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งมีเป้าหมาย และเงื่อนไขทางธุรกิจที่ต้องขับเคลื่อน โดยเฉพาะการร่วมกันขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ และต่างมีเป้าหมายสู่การเป็น Net zero ตามโรดแม็พที่วางไว้
ขณะที่คุณสมบัติสีซูเปอร์ชิลด์ จาก TOA ตอบโจทย์ได้ทั้งการส่งมอบ Sustainable Living ในฐานะเทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลลงได้ ขณะเดียวกันยังสามารถตอบโจทย์การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในสโคป 3 จากซัพพลายเชนให้กลุ่มบริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เนื่องจาก TOA วางนโยบาย Green Mission โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Net zero ภายในปี 2593 ตามกลยุทธ์ 7-Green เพื่อให้ทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ การขนส่ง รวมทั้งการวางแนวทางดำเนินธุรกิจที่ช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงในทุกมิติ โดยปี 2566 ที่ผ่านมา TOA ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มมากขึ้น และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 31,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TonCO2e) เทียบเท่ากับการปลูกต้นสักกว่า 1,8000,000 ต้น
“จากความมุ่งมั่นตาม Green Mission ปัจจุบันบริษัทได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ในฐานะองค์กรคาร์บอนต่ำ (CFO) ที่มีการควบคุม Carbon Emission ได้ตามมาตรฐาน รวมทั้งการรับรองผลิตภัณฑ์มากกว่า 320 รายการ ที่มีคาร์บอนต่ำ (CFP) ครอบคลุมตลาดสีทาอาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบัน อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าเรือธงอย่าง สี SuperShield, TOA Organic Care, TOA Shield-1 Nano, 4SEASONS, SUPER MATEX, Expert series (Shield, Pro, Flex) และ TOA 7in1 ซึ่ง TOA ไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้นอีก ทำให้ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ 40 รายการ ที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน (CFR) แล้ว และมีแผนพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ที่เหลือได้รับฉลากลดโลกร้อน รวมทั้งได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำเพิ่มมากขึ้นภายในปีนี้”
ในฐานะผู้นำตลาดสีทาบ้าน ทำให้ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา TOA ไม่เคยหยุดพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ และกระบวนการทำงานในทุกมิติ รวมไปถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อติดตามเทรนด์ ทดลองนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสามารถส่งมอบผลกระทบเชิงบวกจากการดำเนินธุรกิจได้มากกว่าแค่การเติบโตของยอดขาย แต่ยังมีส่วนช่วยพัฒนาตลาดและยกระดับทั้งอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นอุตสาหกรรมเคมีที่มีส่วนได้ดูแลผู้คน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีคุณภาพควบคู่กันไปได้ด้วย
อ่านรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/SSxBBuf