หลังจากเป็นซัพพลายเออร์หลักให้กับธุรกิจร้านสะดวกซักทั้งหลายมานาน และมีแบรนด์ที่ใช้ LG เป็นเครื่องซักผ้า กับเครื่องอบผ้า ถึง 7-8 แบรนด์ ยังไม่นับเครื่องซักผ้าที่ใช้ตามบ้านแต่ถูกดัดแปลงเป็นเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญอีกมากมาย ในที่สุด วันนี้(14 กุมภาพันธ์) LG ก็ขอลุยธรุกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักของตัวเองเป็นครั้งแรกที่ รามคำแหง ซ.8 นับเป็นครั้งแรกของโลกที่ LG ลงมาเล่นในธุรกิจนี้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยจุดแข็งด้าน Branding ระดับ Global Brand ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในสินค้า “เครื่องซักผ้า” เป็นอันดับ 1 มายาวนานกว่า 35 ปี รวมทั้งมีศูนย์ให้บริการหลังการขายอยู่ครบทุกจังหวัดในประเทศไทย
นั่นทำให้ LG ประเทศไทย ขอสร้างสรรค์ยูนิตใหม่ขึ้นมาเพื่อรุกธุรกิจแฟรนไชส์สะดวกซักโดยเฉพาะ เป็นครั้งแรกของโลก แซงหน้าอินเดียที่สนใจจะเปิดธุรกิจนี้เช่นกัน โดยคาดหวังว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า จะเป็นแผนกที่สร้างรายได้ให้กับ LG ประเทศไทยราว 2-3% อย่างไรก็ตามการเปิดตัวแฟรนไชส์ในครั้งนี่ของ LG คาดหวังว่าจะช่วยให้การจำหน่ายเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าระดับ Commercial ที่ปี 2566 ที่ผ่านมาขายได้ 3,600 เครื่อง ขยับเป็น 6,000 เครื่องภายในปี 2567 นี้
รวมทั้งผลพลอยได้ที่จะทำให้ “แบรนด์” ของ LG เข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับชุมชน ตามทำเลของร้านสะดวกซักที่ทะลุทะลวงเข้าไปในย่านที่อยู่อาศัย จนเกิดความคุ้นชิน นำไปสู่การซื้อสินค้าอื่นๆ ของ LG
“จุดแข็งของเราคือ Branding ระดับ Global Brand มีความน่าเชื่อถือ และมี Brand Identity ชัดเจน อย่างร้านแรกของเรานี่ก็มีทีมจากเกาหลีบินมาดูเรื่องของดีไซน์ การตกแต่งร้านด้วยตัวเองเลย และเราส่งมอบสินค้านับแสนชิ้นต่อปี รวมทั้งการลงทุนต่างๆ ของเราที่ผ่านมาในประเทศไทย อาจจะพูดได้เลยว่าเราทิ้งใครไม่ได้อยู่แล้ว” คุณอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด LG ประเทศไทยกล่าว
สำหรับการลงทุนในร้านแฟรนไชส์ LG Laundry Crew มีแพ็กเกจ ราคาให้เลือก ดังนี้
– ไซซ์ S ควรมีพื้นที่ 40 ตารางเมตร ขึ้นไป เริ่มต้น 1.5 ล้านบาท มีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า 4 เซ็ท
– ไซซ์ M 2 ล้านบาท
– ไซซ์ L ลงทุนราว 2.5 ล้าน
– และ XL ที่ลงทุนประมาณ 3 ล้านบาทขึ้นไป
อัตราคืนทุนตั้งแต่ 2-4 ปี
ทาง LG ยืนยันว่าไม่ขอเป็นคู่แข่งกับพาร์ทเนอร์เดิมของตัวเอง โดยการตัดราคาค่าเครื่องซักผ้า รวมทั้งมีการแจ้งกับแบรนด์ร้านสะดวกซักที่ซื้อเครื่องของตัวเองตั้งแต่เดือนสิงหาคม – กันยายน ปีที่แล้ว รวมทั้งความคาดหวังในระยะแรกนี้ไม่ใช่เรื่องของการขยายจำนวนแฟรนไชส์ซี แต่เน้นที่ความยั่งยืนเข้มแข็งของนักลงทุน เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก