
สรุป 10 เรื่องน่าสนใจของ “นีโอ คอร์ปอเรท”
1. “นีโอ คอร์ปอเรท” ก่อตั้งในปี 2532 โดยคุณสุทธิเดช ถกลศรี ที่เป็นซีอีโอในปัจจุบัน เดิมชื่อบริษัท ไบโอ คอนซูเมอร์ จำกัด (เปลี่ยนเป็นชื่อ นีโอ คอร์ปอเรท ในปี 2559) ทำธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค (FMCG)
โครงสร้างผู้ถือหุ้น นีโอฯ ปัจจุบัน (ก่อนขายหุ้น IPO)
– กลุ่มครอบครัวคุณสุทธิเดช ถกลศรี (ผู้ก่อตั้ง) ถือหุ้นรวม 87.22%
– กลุ่มบริษัท เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 12.78%
จุดเริ่มต้นของ นีโอ ต้องการทำสินค้าอุปโภคที่ดีมีคุณภาพให้เป็นตัวเลือกกับผู้บริโภค ท่ามกลางการแข่งขันกับแบรนด์อินเตอร์จากต่างประเทศ จึงลงทุนตั้งโรงงานผลิต บริษัทวิจัยและพัฒนาสินค้า เพื่อทำให้กลยุทธ์ที่ว่าด้วย Product แตกต่างและมีคุณภาพ รวมทั้งดูแลเรื่องการจัดจำหน่ายเอง
2. ปี 2532 เปิดตัวสินค้าแบรนด์แรก “เอเวอร์เซ้นส์” (Eversense) โคโลญ ที่วางตำแหน่งชัดเจนว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับวัยรุ่นหญิง สร้างความแตกต่างจากโคโลญในตลาดที่จับทุกกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ตั้งแต่ปีแรกถึงปัจจุบัน
3. ปัจจุบันมีสินค้าอุปโภค 3 กลุ่ม รวม 8 แบรนด์
– กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ประกอบด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่ 1. ไฟน์ไลน์ (Fineline) 2. สมาร์ท (Smart) 3. โทมิ (Tomi)
– กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ประกอบด้วย 4 แบรนด์ ได้แก่ 1. บีไนซ์ (BeNice) 2. ทรอส (TROS) 3. เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) 4. วีไวต์ (Vivite)
– กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) แบรนด์ดีนี่ (D-nee)
4. กลุ่มผลิตภัณฑ์ (Product Portfolio) ทั้ง 8 แบรนด์ ครองส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ติดอันดับ 1-3 ในทุกหมวดสินค้า
– Eversense ผลิตภัณฑ์แป้ง ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง
– BeNice ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
– TROS ผลิตภัณฑ์โคโลญ และผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้ชาย
– Fineline ผลิตภัณฑ์ซักผ้า, ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม, ผลิตภัณฑ์รีดผ้าเรียบ
– Smart ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรแอนตี้แบคทีเรีย
– Tomi ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ
– Vivite ผลิตภัณฑ์โรลออนสำหรับผู้หญิง
– D-nee ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก ผลิตภัณฑ์อาบน้ำและสระผมเด็ก
“ทั้ง 8 แบรนด์สินค้าใช้งบการตลาดไม่มาก และต้องแข่งขันกับโกลบอลแบรนด์ ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ share of voice ของ นีโอ มีน้อยมาก แต่ Market Share ในทุกสินค้าเพิ่มขึ้นทุกปี” คุณปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ NEO กล่าว
ปัจจุบันทั้ง 8 แบรนด์ทำตลาดแมส วางแผนขยายพอร์ตโฟลิโอสินค้าไปยังกลุ่มพรีเมียมแมสและพรีเมียม มากขึ้น เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ รวมทั้งออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง อย่างในปี 2565 มีผลิตภัณฑ์ใหม่ 412 รายการ (SKUs)
5. หลังใช้เวลาศึกษาและเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์มา 5 ปี เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 78 ล้านหุ้น หรือ 26% ของจำนวนหุ้นสามัญ โดยแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ระดมทุนใน SET คือ 1. ขยายกำลังการผลิตสินค้า กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน 2. เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจ 3. จ่ายคืนเงินกู้ยืม 4.เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภค โดยวางงบลงทุนในช่วง 5 ปีจากนี้ รวม 1,000 ล้านบาท
6. ปัจจุบันโรงงานผลิตสินค้า อยู่ภายใต้ บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ (Neo Factory) ปี 2559 ได้ก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าใหม่ที่ รังสิต คลอง 13 บนเนื้อที่ 188 ไร่ เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เติบโตขึ้นตามยอดจำหน่าย
ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมสินค้าทั้ง 3 กลุ่ม อยู่ที่ 229,296 ตันต่อปี เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 20.86% ต่อปี
คุณณิศรา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ NEO กล่าวว่าได้ลงทุนอาคารและระบบคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปอัตโนมัติ (Automated Storage and Retrieval Systems: ASRS) ที่นับว่าทันสมัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย เพื่อรองรับแผนการเติบโตในอนาคต ปัจจุบันสามารถจัดเก็บสินค้าได้ 35,000 พาเลท และกำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารและระบบคลังสินค้าอัตโนมัติรองรับการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปประมาณ 10,700 พาเลท
7. ย้อนดูรายได้และกำไร นีโอ ที่เติบโตทุกปี
– ปี 2563 รายได้ 6,767 ล้านบาท กำไรสุทธิ 602 ล้านบาท
– ปี 2564 รายได้ 7,445 ล้านบาท กำไรสุทธิ 729 ล้านบาท
– ปี 2565 รายได้ 8,300 ล้านบาท กำไรสุทธิ 568 ล้านบาท
– ปี 2566 (6 เดือน) รายได้ 4,572 ล้านบาท กำไรสุทธิ 339 ล้านบาท
8. นีโอ เริ่มส่งออกสินค้าทั้ง 3 กลุ่ม ขยายตลาดต่างประเทศในปี 2550 ปัจจุบันส่งออกไปจำหน่ายใน 16 ประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ ในกลุ่ม CLMV (เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา) ตะวันออกกลาง ตลาดส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 15% ของรายได้
9. ตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจกว่า 30 ปี ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาสินค้า (R&D) ทำวิจัยปีละ 200 วัน แต่ละปีใช้งบประมาณ 5% ของยอดขาย เพื่อออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค ตามไลฟ์สไต์ล์ในทุกช่วงอายุ
ในปี 2567 นีโอ มีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ทั้งตลาดที่มีสินค้าอยู่แล้วและประเภทผลิตภัณฑ์ (Category) ใหม่ๆ เพื่อรองรับกระแสความต้องการของผู้บริโภคและเพื่อนำเสนอสินค้าที่มีความแปลกใหม่ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
10. การนำ “นีโอ คอร์ปอเรท” (NEO) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2567 ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจครอบครัวไปสู่บริษัทมหาชนที่มาตรฐานในระดับสากล สร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและทำตลาดส่งออกมากขึ้น เพื่อสานวิชั่น “นีโอ” สู่การขึ้นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของภูมิภาคเอเชีย

ผู้บริหาร NEO จากซ้าย : คุณปัทมา ถกลศรี-คุณสุทธิเดช ถกลศรี-คุณณิศรา ถกลศรี
อ่านเพิ่มเติม




