การออกมาประกาศขายหน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของทาง บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC ให้กับบลูบิค (Bluebik) ด้วยมูลค่า 691 ล้านบาท เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นข่าวที่หลายคนในแวดวงไอทีให้ความสนใจไม่น้อย เพราะถือเป็นครั้งแรกของการขายหน่วยธุรกิจของ MFEC ให้กับต่างบริษัท จากที่แต่เดิม มักจะปรากฏภาพของ MFEC เข้าไปลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ เสียมากกว่า
แน่นอนว่า ในการขายหน่วยธุรกิจครั้งนี้ของ MFEC ต้องมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นแรงบันดาลใจ โดยคุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC เผยว่า มันคือการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อรองรับเทรนด์ ESG ที่กำลังมาแรงนั่นเอง
“ตอนนี้ถ้าเราจะจ้างคนรุ่นใหม่ เราต้องมีงานที่มีความหมาย ถ้าบอกเขาว่า ซอฟต์แวร์ที่จะให้เขาเขียนนั้นสามารถช่วยโลกได้ จะมีเด็กยกมือสนใจเพียบเลย”
เป้าใหม่ ทีมใหม่ ตลาดใหม่
ประโยคข้างต้นเป็นคำกล่าวของคุณศิริวัฒน์ ที่สะท้อนได้ดีถึงเป้าหมายครั้งใหม่ของบริษัท นั่นคือการสร้างทีมใหม่ และลุยตลาดใหม่อย่าง ESG (ESG เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนซึ่งย่อมาจาก Environment, Social, และ Governance) ที่ยังมีโอกาสอีกมากรออยู่
“ตอนนี้หากถามว่า แต่ละบริษัททราบไหมว่าในแต่ละเดือน ทิ้งขยะอะไร มีขยะพลาสติกเท่าไร สร้างคาร์บอนเท่าไร สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้นในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า และถึงตอนนั้น ต่อให้บริษัทไม่อยากทำก็จะถูกกฎหมาย นักลงทุน และผู้บริโภคกดดันให้ต้องทำอยู่ดี เพราะกระแสสังคมยุคใหม่จะให้ความสนใจกับบริษัทที่มีนโยบายด้าน ESG มากขึ้น”
“ลองนึกภาพง่าย ๆ นักเดินทางจากยุโรป เวลาเขาจองโรงแรม เขาจะจองกับโรงแรมที่มีนโยบาย ESG ถ้าโรงแรมไหนไม่รองรับ เขาก็ไม่จอง ในจุดนี้ ผมมองว่า ถ้ามีระบบไอที เราสามารถทำในลักษณะบริการได้ คือทางโรงแรมไม่ต้องยุ่งยากเลย ทางเรามีระบบ อบรม Maid ให้เลยว่าต้องเก็บ – แยกขยะอย่างไร สิ้นเดือน ซอฟต์แวร์ก็คำนวณออกมาได้เลยว่า โรงแรมเราปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่าไร”
เริ่มต้นแล้วกับบริษัทในเครือ
แน่นอนว่าการเริ่มต้นครั้งใหม่ต้องการการเตรียมตัว และการเตรียมตัวครั้งนี้ คุณศิริวัฒน์เล่าว่า ได้มีการรีครูททีมใหม่ ที่ต้องใช้ทักษะใหม่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ลักษณะดังกล่าวแล้วประมาณ 450 คน ส่วนการเก็บข้อมูลนั้นจะเริ่มกับบริษัทในกลุ่มของ MFEC ก่อน เพื่อทำความเข้าใจว่า แต่ละธุรกิจสร้างคาร์บอนเท่าไร
“การที่เราทราบว่าบริษัทเราสร้างคาร์บอนเท่าไร แล้วต้องไปซื้อคาร์บอนมาทดแทนเท่าไร เพื่อให้มันเป็นศูนย์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ พัฒนา แต่ถ้าทำได้เมื่อไร เราก็แค่เดินไปหาบริษัทต่าง ๆ แล้วบอกว่า ทำตามเราได้เลย แค่นี้ เราก็ช่วยธุรกิจไทยได้มากแล้ว ตราบใดที่เขารู้ว่า พอเขาเข้าสู่มาตรฐาน ESG ของโลกแล้ว เขาจะมีรายได้ที่ดีขึ้น แต่ถ้าไม่มีใครทำ แล้วเกิดวันหนึ่งมีความต้องการใช้มาก ๆ หรือถูกบังคับให้ทำขึ้นมาก็จะเหนื่อยกันทุกฝ่าย”
Social เรื่องที่ไอทีช่วยได้
นอกจากตัว E หรือ Environment แล้ว อีกตัวอักษรหนึ่งที่คุณศิริวัฒน์มองว่า ระบบไอทีสามารถช่วยได้ก็คือ ตัว S หรือ Social นั่นเอง
“เราพบว่า ตัว E มีคนทำค่อนข้างเยอะแล้ว ที่เราสนใจคือตัว S หรือ Social เห็นได้จากช่วง Covid-19 ระบาด มีหลายธุรกิจที่โตเอา ๆ แต่คนก็จนลง ๆ เราพบว่า ชาวไร่ชาวนา ที่เขาขายข้าวผ่านตัวกลาง ข้าวกว่าจะมาถึงมือคนซื้อต้องผ่านตัวกลาง 5 ทอด สมมติเราซื้อข้าวที่ราคา 100 บาท ชาวนาได้ประมาณ 20 บาทเท่านั้น”
“ทุกเซกเมนต์ที่เราเจ๊ง มันเกิดจากการผิดรูปผิดร่างของการขาย ต่อให้ไม่ต้องเป็นข้าว ขายอะไรก็เจ๊ง”
แต่จะทำอย่างไรให้เป็นการขายที่ถูกต้อง คุณศิริวัฒน์ให้ทัศนะว่า มันคือการใช้เทคโนโลยีเข้ามา Disrupt ตลาดเสียใหม่
“ยกตัวอย่างเกษตรกร มีที่เพาะปลูก ลองไหมปลูกตามสั่ง แล้วเมื่อเรามี Data ว่าผักจะเก็บเกี่ยวเมื่อไร ก็ส่งให้บริษัทที่ทำโลจิสติกส์เข้ามารับไป รถขนส่งจะรู้ว่า อาทิตย์หนึ่งต้องมารับผักที่สวนนี้กี่ครั้ง และรับผักอะไร ไปส่งให้ใคร ถ้าทำได้จะ Win-Win ทุกฝ่าย คนซื้อก็ได้กินผักสด ๆ ไม่มียาฆ่าแมลง คนขายก็ลดปัญหาพ่อค้าคนกลาง ได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ตรงนี้ผมมองว่า ระบบไอทีมีโอกาสที่จะช่วยเรื่องของ Social ในตลาด ESG ได้เยอะมาก”
ขอบอกว่า อยากทำมาก แค่ผมประกาศก็มีน้อง ๆ ยกมืออยากทำแล้ว
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางการเติบโตที่น่าตื่นเต้น กับการก้าวเข้าสู่การเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีด้าน ESG ของ MFEC ทั้งนี้ มีข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า ในหมู่นักลงทุน การลงทุนในเทรนด์ ESG กำลังเติบโตและกำลังกลายเป็นการลงทุนกระแสหลักของโลก โดยสหรัฐอเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการลงทุนดังกล่าวแทนนักลงทุนจากยุโรป และคาดว่าสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ ESG จะมีมูลค่าสูงถึง 41 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปีนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวทางของ MFEC ที่ปรับโฟกัสใหม่มาสู่ธุรกิจ ESG จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตา และน่าจะตอบโจทย์ธุรกิจไทยในอนาคตอันใกล้ได้มากทีเดียว