
สำหรับตลาดประเทศไทย ที่ผ่านมาใช้โมเดล Distributor มาโดยตลอด โดยให้บริษัท “DKSH” เป็นผู้แทนจำหน่ายต่อเนื่องยาวนาน 25 ปี นับตั้งแต่เมื่อสมัยยังเป็นดีทแฮล์ม กระทั่งเปลี่ยนชื่อเป็น DKSH ในปัจจุบัน ซึ่ง DKSH จะเปิดร้านรูปแบบต่างๆ เช่น ช้อป Stand Alone ในศูนย์การค้า, Shop in Shop ในดีพาร์ทเมนต์สโตร์ และทำการตลาดแบรนด์ Levi’s®
อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ จะสังเกตได้ว่าช้อป Levi’s® ทั้งในศูนย์การค้า และในดีพาร์ทเมนต์สโตร์ลดราคาแบบ Clearance Sale เนื่องจากวันที่ 31 มีนาคม 2022 จะเป็นวันที่ DKSH สิ้นสุดการเป็น Distributor ให้กับแบรนด์ Levi’s® ในประเทศไทย และนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป ทาง “Levi Strauss & Co.” เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยเอง 100%
วิเคราะห์ 5 เหตุผลทำไม “Levi Strauss & Co.” ยุติโมเดล Distributor ในไทย แล้วเปลี่ยนมาลงทุนเอง
แม้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา แบรนด์ “Levi’s®” จัดจำหน่ายด้วยระบบ Distributor แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้ “Levi Strauss & Co.” ตัดสินใจปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจในไทย ด้วยการเข้ามาลงทุนเอง 100% มาจาก 5 เหตุผลหลักๆ คือ
1. ตลาดเอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ หนึ่งใน Growth Engine สำคัญของ “Levi Strauss & Co.” โดยตลาดไทย ผู้บริโภคไทยรู้จักแบรนด์ “Levi’s®” อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ในการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ และการลงทุนเองทำให้สามารถบริหารจัดการแบรนด์ให้เป็นไปตาม direction ของทั้งกลยุทธ์ระดับโลก และกลยุทธ์ท้องถิ่นที่วางไว้
2. ผู้บริโภคไทยเปิดรับเทรนด์ใหม่ และปรับให้เข้ากับความเป็นตัวเอง ทำให้ตลาดแฟชั่นเครื่องแต่งกายในไทย ก้าวล้ำและมี dynamic อยู่เสมอ
3. การเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยเอง “Levi Strauss & Co.” ต้องการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ “Levi’s®” ให้ทันสมัยขึ้น เพื่อขยายฐานไปยังผู้บริโภคกลุ่ม Youth อายุ 18 – 30 ปี และผู้บริโภคผู้หญิง ซึ่งทางบริษัทแม่มองว่าผู้บริโภคคนรุ่นใหม่มีกำลังซื้อ จากเดิมแบรนด์ “Levi’s®” ในไทยมีลูกค้าฐานใหญ่ในกลุ่ม 25 – 30 ปีขึ้นไป และส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
4. ทำให้ได้ฐาน Consumer Data ของตัวเอง จากฟีดแบคของผู้บริโภคผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะช่องทางการสื่อสาร เช่น แพลตฟอร์ม Social Media, ร้านสาขา ฯลฯ ซึ่ง Data เหล่านี้สามารถนำไปต่อยอดสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ ทั้ง Local Consumer
5. เชื่อว่านอกจากแบรนด์ “Levi’s®” แล้ว หากตลาดไทยไปได้ดี และมีโอกาสเติบโต ทาง “Levi Strauss & Co.” จะนำแบรนด์อื่นในพอร์ตโฟลิโอเข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม
จาก 5 ปัจจัยดังกล่าว “Levi Strauss & Co.” มองว่าเป็นโอกาสในตลาดไทย และสร้างประสบการณ์แบรนด์ “Levi’s®” เพื่อทำให้ผู้บริโภคไทยรักในแบรนด์เดนิมที่มีมรดกยาวนานกว่า 169 ปี และจะเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันธุรกิจ “Levi Strauss & Co.” ในประเทศไทยให้มีมากกว่า 1 แบรนด์
สำรวจพอร์ตโฟลิโอ – รายได้ “Levi Strauss & Co.” โตสวนวิกฤต COVID-19
ก่อนจะลงกลยุทธ์การตลาดที่ “Levi Strauss & Co.” จะใช้บุกตลาดโลก และตลาดไทย มาทำความรู้จัก “Levi Strauss & Co.” และผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา
บริษัท “Levi Strauss & Co.” เป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องแต่งกายแบรนด์เนมใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งเครื่องแต่งกายยีนส์ เสื้อผ้าลำลอง และสินค้าเครื่องแต่งกายอื่นๆ ครอบคลุมทั้งกลุ่มผู้ชาย, ผู้หญิง และเด็ก ภายใต้ Brand Portfolio 5 แบรนด์คือ
– Levi’s®
– Signature by Levi Strauss & Co.™
– Denizen®
– Dockers®
– Beyond Yoga®
มีร้านค้าปลีกกว่า 3,100 ร้าน ใน 110 ประเทศ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก และมีสำนักงานประจำภูมิภาคในเบลเยี่ยม, อินเดีย และสิงคโปร์

สำหรับตลาดประเทศไทย อยู่ภายใต้การบริหารของ “Levi Strauss & Co. ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยตลาดภูมิภาคนี้ ปัจจุบันมีสิงคโปร์ และไทย ที่บริษัทแม่ลงทุนเอง 100% และขณะนี้ในไทย ได้เริ่มสร้างทีมงานฝ่ายต่างๆ เพื่อดูแลบริหารตลาดในประเทศ

เหตุผลที่ทำให้ Levi’s® 501 เป็น Blue Jeans ตัวแรกที่จดลิขสิทธิ์ใช้หมุดตอก, ในอดีตใช้กระดุม Button Fly ทั้งหมด ขณะที่ยีนส์ปัจจุบันใช้เป็นซิป และริมแดง ซึ่งในปี 2566 เตรียมฉลองครบรอบ 150 ปี Levi’s® 501
แม้ว่าช่วงปี 2019 – 2020 อุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลก เผชิญกับภาวะรายได้ถดถอย 20% โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้อุตสาหกรรมแฟชั่นเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ แต่สำหรับผลการดำเนินงานของ “Levi Strauss & Co.” ทั่วโลกในช่วง 6 ปีมานี้ นับตั้งแต่ปี 2016 – 2021 พบว่ายังคงเติบโตต่อเนื่อง ยกเว้นในปี 2020 ปีแรกของการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งผลให้รายได้ และ EBIT ของ “Levi Strauss & Co.” โตลดลง แต่ในปีที่แล้ว สามารถกลับมาเติบโตได้เท่ากับก่อนเกิดการแพร่ระบาด
– ปี 2016 รายได้ : 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ / EBIT : 493 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
– ปี 2017 รายได้ : 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ / EBIT : 502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
– ปี 2018 รายได้ : 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ / EBIT : 590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
– ปี 2019 รายได้ : 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ / EBIT : 611 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
– ปี 2020 รายได้ : 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ / EBIT : 181 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
– ปี 2021 รายได้ : 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ / EBIT : 713 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนแบรนด์ Levi’s®
สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจ “Levi Strauss & Co.” และแบรนด์ Levi’s® จะโฟกัส 5 กลยุทธ์หลักคือ
1. ขับเคลี่อนด้วยแบรนด์ (Brand led)
แบรนด์ Levi’s ที่มีมาอย่างยาวนานและความน่าเชื่อถือนั้น ยังสามารถเติบโตไปได้อีกอย่างยาวไกล โดยตลาดประเทศไทยจะใช้ Levi’s เป็นแบรนด์หลักในการสร้างการเติบโตธุรกิจ และมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ
2. ขยายฐานกลุ่มลูกค้า Young Generation
จากเดิม Levi’s® มีฐานลูกค้าตั้งแต่อายุ 25 – 30 ปีขึ้นไป แต่จากนี้ นอกจากรักษาฐานลูกค้าเดิมแล้ว การจะเติบโตมากขึ้น ต้องขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ นั่นคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18 – 30 ปี และเน้นกลุ่มผู้หญิงมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา Perception ของผู้บริโภคที่มีต่อยีนส์ หรือเดนิม คือ ผู้ชาย แต่จากนี้จะทำตลาดเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มผู้หญิง

– ผู้แสวงหาแฟชั่น (Fashion Seekers) นักช้อปที่ชื่นชอบการอัพเดทเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ ตลอดเวลา
– ผู้ดูแลรักษาสไตล์ (Style Curators) คนแต่งตัวที่มีความมั่นใจ มีสไตล์เป็นของตัวเอง คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ ใส่ใจในรายละเอียด และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้คงทนยาวนาน
ทั้งนี้โดยเฉลี่ยผู้บริโภค 1 คน จะซื้อยีนส์ 1 ตัวต่อปี แต่สำหรับกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่แบรนด์ Levi’s® ต้องการทำตลาดเข้าถึงคนกลุ่มนี้มากขึ้น โดยเฉลี่ยซื้อยีนส์ 1.5 – 2 ตัวต่อปี
3. เข้าถึงลูกค้าโดยตรง (Direct-to-Consumer : DTC)
ทั้งช่องทางสื่อสารของแบรนด์ และช่องทางจำหน่าย โดยในไทย หลังจาก “Levi Strauss & Co.” เข้ามาทำธุรกิจเองแล้ว จะปรับโฉม Social Media ของแบรนด์ เช่น LINE, IG, Facebook
ขณะที่ช่องทางการจำหน่าย ยังคงให้ความสำคัญทั้งการเปิดร้าน เพราะเป็น Touchpoint สร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าโดยตรง ปัจจุบันในไทยมี 8 สาขา มีทั้งสาขาที่รีโนเวทจากร้านเดิมเมื่อสมัยยังใช้โมเดล Distributor และสาขาที่เปิดใหม่
ร้าน Levi’s® จากนี้จะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “NextGen Indigo Store” ดีไซน์บรรยากาศ และการตกแต่งร้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งสินค้า Levi’s® ให้ดูทันสมัยขึ้น และสะท้อนตัวตนของแบรนด์ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ภายในร้านยังมีบริการ Tailor Shop ลูกค้าสามารถนำยีนส์มา Customize ในแบบฉบับของตัวเอง
ผสานกับช่องทางดิจิทัล โดยนโยบายของ “Levi Strauss & Co.” ทั่วโลก ลงทุนด้านอีคอมเมิร์ซ โดยในไตรมาส 4/2021 ยอดขายอีคอมเมิร์ซของแบรนด์ Levi’s® ทั่วโลกเติบโต 22%
ขณะที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งจำหน่ายผ่าน e-Marketplace และช่องทางออนไลน์ของแบรนด์เอง ซึ่งต่อไปจะเชื่อมต่อระหว่างร้านสาขา กับออนไลน์ เพื่อให้บริการรูปแบบ Omni-channel และรองรับระบบ CRM
ตัวอย่างของการพัฒนาไปสู่รูปแบบ Omni-channel เช่น ศูนย์กระจายสินค้าในเมืองเฮนเดอร์สัน รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา ได้กลายเป็นศูนย์บริการแห่งแรกที่ดำเนินการทุกอย่างเพื่อการสั่งสินค้าทางช่องทางอีคอมเมิร์ซ ค้าปลีกและค้าส่งเท่านั้น เพื่อส่งเสริมการทำ Omni-channel ซึ่งช่วยประหยัดเวลา ลดการพึ่งพาผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
4. ขยายตลาด (Diversification)
บริษัทแม่ “Levi Strauss & Co.” มีแผนสร้างขยายตลาดในหลากหลายรูปแบบ คือ
– ขยายตลาดต่างประเทศ ทำให้ยอดขายตลาดต่างประเทศ จากปี 2016 อยู่ที่ 49% เพิ่มขึ้นเป็น 45% ในปี 2021
– นอกจากกางเกงเดนิมแล้ว เพิ่มสินค้ากางเกงอื่นๆ จาก 31% เป็น 36%
– เพิ่มกลุ่มสินค้าเสื้อผ้าผู้หญิง ทำให้สัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มนี้ในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 33% จากในปี 2016 อยู่ที่ 22%
– สร้างระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem จาก 9% ในปี 2016 เพิ่มเป็น 22% ในปี 2021
– ช่องทาง Direct to Consumer (DTC) จาก 32% ในปี 2016 เพิ่มเป็น 36% ในปี 2021
รวมทั้งขยายขอบเขตการเข้าถึงและเพิ่มส่วนแบ่งไปในทุกภูมิภาค ทุกประเภทสินค้า ทุกเพศ และทุกช่องทาง เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวและทำให้ธุรกิจมั่นคง แม้ต้องเผชิญสถานการณ์ต่างๆ

5. เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ – สื่อสารแบรนด์ สร้างประสบการณ์ใหม่
ต่อไปจะได้เห็นคอลเลคชั่นใหม่ของ Levi’s® ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะคอลเลคชั่นจากการทำ Collaboration ทั้งในระดับโลก และระดับท้องถิ่น รวมทั้งจัดอีเว้นท์ และสื่อสารแบรนด์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น งาน 501 Day, The Levi’s® Music Project คอนเสิร์ตส่งเสริมศิลปินรุ่นใหม่ เป็นการนำ Music Platform มาเป็นตัวเชื่อมร้อยระหว่างแบรนด์ กับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่เข้าด้วยกัน เพื่อสะท้อนทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์ และการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนกิจกรรม Local Event อื่นๆ


คุณซาเมียร์ กุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ลีวาย สเตราส์ แอนด์ โค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย











