ปฎิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 2 ปีนับจากโควิด-19 เข้าโจมตี พฤติกรรมของคนไทยก็ถูกปรับให้เข้ากับเทรนด์ดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว โดยทุกวันนี้เรามีทั้งการเรียนออนไลน์ ทำงานแบบ Work From Anywhere หรือแม้กระทั่งการพบแพทย์ ที่สามารถทำได้ผ่านระบบออนไลน์ ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล
หนึ่งในข้อมูลที่ยืนยันได้ดีก็คือตัวเลขจาก Global Web Index เมื่อเดือนมกราคม 2021 ที่ระบุว่า ไทยมีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นจากปี 2020 ถึง 7.4% หรือคิดเป็น 48.59 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 69.9 ล้านคน
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นยังมาพร้อมพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตที่หลากหลายมากขึ้นด้วย โดยมีการพบว่า รูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภคในปัจจุบันนั้นมีความต้องการที่แตกต่างกัน โดยบางคนอาจต้องการเน็ตที่มีความเสถียร สามารถประชุม – เรียนออนไลน์ได้แบบไม่กระตุก ขณะที่บางคนอาจต้องการเน็ตที่รวดเร็ว เพราะจะได้ชมคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง – เล่นเกมออนไลน์ได้อย่างต่อเนื่อง หรือบางคนที่ผันตัวมาเป็นแม่ค้าออนไลน์ และต้องไลฟ์สดเพื่อขายของ ก็อาจต้องการเน็ตที่มีความเสถียร อัปโหลดสูงๆ เพื่อให้ไลฟ์ราบรื่น เป็นต้น
“คุ้มกว่า” ถ้าเลือก “เน็ต” ให้ตรงกับพฤติกรรม
การเลือกใช้เน็ตมือถือนั้น จะต้องตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้งานหลักๆ ของเรา จริงอยู่ว่าทุกคนทำหลากหลายกิจกรรม แต่หากเลือกแพ็กเกจไม่เหมาะสม แม้จะเป็นแพ็กเกจสปีดสูง แต่ก็จะพบปัญหาเน็ตหมด เนื่องจากเลือกแพ็กเกจเน็ตไม่เหมาะสมกับการใช้งานนั่นเอง
คำถามที่ตามมาจากรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย ก็คือ จะเลือกใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตแบบไหนถึงจะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่สุด ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ไม่ใช่การฟันธงว่า จะต้องเลือกแพ็กเกจที่สปีดสูงสุดเสมอไป และยังต้องมองเรื่องความหน่วง ความเสถียร ที่เหมาะสมกับการใช้งานด้วย โดยข้อมูลจาก highspeedinternet.com ได้ให้คำแนะนำในการเลือกเน็ตให้ตรงกับความต้องการเอาไว้
– ผู้บริโภคที่เป็นคนยุคใหม่ที่อาจเป็นนักศึกษา หรือคนวัยทำงานทั่วไป ปกติใช้เน็ตเพื่อการประชุม – เรียนออนไลน์ เช็คเมล ฟังเพลง ดูหนังออนไลน์ เข้าเว็บไซต์ทั่ว ๆ ไป กรณีนี้ ความเร็ว 5 – 40 Mbps ก็เพียงพอ
– ครอบครัว ส่วนใหญ่ก็จะมีการแชร์เน็ตกัน มีการใช้งานกันหลากหลายรูปแบบ หลายคน หลายอุปกรณ์ เล่นเกมออนไลน์พร้อมกัน กรณีนี้ควรใช้เน็ตความเร็ว 40-100 Mbps
– พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องทำการไลฟ์สดบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ พร้อมกัน กรณีนี้อาจต้องเลือกความเร็วเน็ตที่ 100-500Mbps เพื่อให้การไลฟ์ไม่สะดุด และไม่มีปัญหาตอนเก็บออเดอร์ลูกค้าที่ CF
– คนชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ เกาะติดเทรนด์ ดูคอนเทนต์ 4K-8K เล่นเกมออนไลน์ผ่านคลาวด์ไม่ปิง ไม่กระตุก อาจจะต้องเลือกเน็ตเร็ว 500Mbps – 1Gbps
ทั้งนี้ การเลือกเครือข่ายผู้ให้บริการก็มีความสำคัญ โดยปัจจุบัน ทุกค่ายในประเทศไทยต่างมีการลงทุนในเครือข่าย 5G กันแล้ว แต่ในมุมของผู้บริโภค เราอาจต้องพิจารณาในแง่ของความครอบคลุม และคลื่นความถี่ที่ประมูลได้มาว่าเหมาะสมกับการใช้งานแค่ไหน
หากยกตัวอย่างค่ายที่เลือกประมูลคลื่นมาได้ค่อนข้างครบและครอบคลุมก็คงหนีไม่พ้น TrueMove H และจากเว็บ nPerf (ผู้ให้บริการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตมือถือ และอินเทอร์เน็ตบ้าน) ก็พบว่า เครือข่าย TrueMove H นั้น ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย พร้อมกับได้รับรางวัลเครือข่ายมือถือที่ดีที่สุด 5 ปีซ้อนจากทาง nPerf (2016 – 2020) โดยมีคะแนนรวมสูงสุดในด้านคุณภาพอินเทอร์เน็ตด้วย
และ Frost & Sullivan Asia Pacific Awards ก็ยังให้รางวัลผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งปี 3 ปีต่อเนื่อง (2017 – 2019) กับ TrueMove H ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ เครือข่าย TrueMove H ยังเป็นผู้นำ 5G ติดท็อป 20 ได้รับรางวัล 5G Global Leaders Award ในด้านความพร้อมใช้งาน 5G เพียงรายเดียวที่มาจากประเทศไทย และยังได้รับรางวัลประสบการณ์การเล่นเกมผ่านเครือข่าย 5G จาก Opensignal ที่สะท้อนถึงความเป็นผู้นำ 5G ในอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งแน่นอนว่ารางวัลเหล่านี้เป็นเครื่องการันตีประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตมือถือบนเครือข่าย True 5G ได้เป็นอย่างดี และ True ยังมี True Point ที่เป็น Privilege สามารถนำไปใช้กับร้านต่าง ๆ รวมถึงใช้ช็อปใน 7-Eleven และมี Ecosystem ที่กว้างขวาง ดังนั้น TrueMove H จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน
และนั่นอาจทำให้คำถามที่ว่าค่ายไหนที่เน็ตแรงที่สุด หรือค่ายไหนดีที่สุด อาจจะไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ
เพราะค่ายที่ดีที่สุดก็คือค่ายที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงและครอบคลุมที่สุดนั่นเอง
Source :
Digital in Thailand: All the Statistics You Need in 2021 — DataReportal – Global Digital Insights
Your Ultimate Guide to Internet Speed: Everything You Need to Know | HighSpeedInternet.com