บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Mercedes-Benz Thailand Ltd. เปิดตัวโครงการ “Charge to Change” ชวนผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกับพลังงานน้ำมัน หันมา “ชาร์จเพื่อเปลี่ยนโลก” ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน มาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าดันกรุงเทพฯ สู่ฮับของการเดินทางโดยรถยนต์พลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้หลายเดือนที่ผ่านมา โควิด-19 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบกับผู้คนทั่วโลก แต่ขณะนี้ ปัญหามลภาวะทางอากาศของฝุ่น PM 2.5 กลับมาสร้างความกังวลอีกครั้ง องค์การสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลก ขนานนามมลพิษในอากาศว่า ฆาตกรที่มองไม่เห็น เพราะมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มการเสียชีวิตจากโรคปอดร้อยละ 43 จากโรคมะเร็งปอดร้อยละ 29 โรคหัวใจร้อยละ 25 และจากโรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 24
ขณะเดียวกัน PM2.5 เป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาในที่โล่งแจ้ง ควัน และก๊าซจากโรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง กระบวนการทางการเกษตร และการเดินทางด้วยรถยนต์ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิด PM 2.5 เช่นกัน
ข้อมูลจาก “กรมควบคุมมลพิษ” ระบุว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของฝุ่นละออง PM 2.5 มาจากการเดินทางโดยรถยนต์ เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนอยู่มากกว่า 10 ล้านคัน ไม่ว่าจะมีโควิดหรือหลังจากโควิดผ่านพ้นไป ปัญหา PM 2.5 จะยังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทุกภาคส่วนต้องหันมาร่วมมือกันแก้ไข
สำหรับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่เข้ามาลงทุนและทำตลาดในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ได้มีการทบทวนวิธีที่สามารถใช้รถยนต์ไปพร้อมๆ กับการดูแลสิ่งแวดล้อม และพบว่า รถยนต์ EQ Power หรือรถยนต์รุ่นปลั๊กอินไฮบริด สามารถตอบโจทย์ปัญหาดังกล่าวได้ นำมาซึ่งโครงการระยะยาวอย่าง “Charge to Change” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 เฟส ได้แก่
เฟสที่ 1 การกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เนื่องจากพบว่า ผู้ใช้รถยนต์ EQ Power มักไม่ชาร์จพลังงานไฟฟ้า ด้วยสาเหตุสำคัญ 3 ประการคือ ไม่ทราบว่ารถยนต์ของตัวเองชาร์จได้ ไม่ทราบว่าจะชาร์จได้ที่ไหนบ้าง และไม่สนใจที่จะชาร์จเพราะเติมน้ำมันแล้วขับด้วยน้ำมันสะดวกกว่า นำมาซึ่งการสร้างความตระหนักรู้ ทั้งผ่านวิดีโอออนไลน์และการร่วมมือกับบุคคลชั้นนำในวงการต่าง ๆ เพื่อบอกเล่าและเข้าใจว่าการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์นั้นดูเหมือนเป็นสิ่งยุ่งยาก แต่หากช่วยชาร์จและขับด้วยโหมดไฟฟ้ากันสักนิด ก็สามารถมีส่วนช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้ทันทีในทุกการขับขี่ และไม่จำเป็นต้องเป็นรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้น แต่ผู้ใช้รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอินทุกแบรนด์ สามารถมีส่วนช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้นได้เช่นกัน
ถัดมา เฟสที่ 2 การสร้างเครือข่ายการชาร์จที่มีความพร้อมและสะดวกมากขึ้น โดยการร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายวงการเพื่อขยายเครือข่ายการชาร์จ เพิ่มจำนวนสถานีชาร์จ เพื่อให้สะดวกและเข้าถึงง่ายที่สุดสำหรับผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเริ่มต้นด้วยการมอบ Wallbox สำหรับการชาร์จไฟฟ้าจำนวน 100 Wallboxes ให้กับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง
และ เฟสที่ 3 สู่การสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมุ่งหวังให้โครงการนี้มีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นพื้นที่ของการขับขี่ด้วยพลังงานสะอาด ลดปัญหามลภาวะทางอากาศ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น และสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในวงกว้าง ต้องมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะจากผู้ใช้รถยนต์ทุกคน ทั้งผู้ใช้เมอร์เซเดส-เบนซ์และผู้ใช้รถยนต์แบรนด์อื่น ในการมีส่วนร่วมเปลี่ยนโลกให้สะอาดขึ้น พร้อมทั้งลดปัญหา PM 2.5 ได้ เพียงหันมาชาร์จรถยนต์ให้บ่อยขึ้น นอกจากนี้ ยังประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ร่วมมือกันขับคลื่อนเพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นฮับของการเดินทางโดยรถยนต์พลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต
สำหรับยอดขาย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ส่งมอบรถยนต์ทุกรุ่นทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ให้แก่ลูกค้าทั่วโลกไปแล้วเป็นจำนวน 1,071,136 คัน ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดขาย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทั่วโลก เพิ่มขึ้น 0.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดขายโดยรวมในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ในประเทศจีนเติบโตขึ้นถึง 21.6 %
สำหรับในตลาดไทย รถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG ทำยอดขายในไตรมาสที่ 1 ได้เพิ่มขึ้นถึง 54 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านา และทำยอดขายรวมในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้น 1.6 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนรถยนต์ EQ Power มีสัดส่วนของยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 31 % ในไตรมาสที่ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 รถยนต์รุ่น G-Class ยังทำยอดขายเพิ่มขึ้นสูงถึง 225 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในเดือนมิถุนายนก็เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้ ชี้ให้เห็นแนวโน้มในทางบวกของตลาดรถยนต์ไทยในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ผู้สนใจรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น EQ Power ทุกรุ่น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ
ข้