HomeInsight4 ทักษะเพื่อรอดจาก AI Disruption เมื่อ 85% ของงานในอนาคต​จะเป็นอาชีพใหม่ที่ยังไม่มีในตอนนี้

4 ทักษะเพื่อรอดจาก AI Disruption เมื่อ 85% ของงานในอนาคต​จะเป็นอาชีพใหม่ที่ยังไม่มีในตอนนี้

แชร์ :

ตามรายงานของ McKinsey & Company ที่ได้ทำการศึกษาไว้เมื่อปี 2016 ระบุว่า ในอนาคตจะมีอาชีพอยู่ราว 5% ของจำนวนอาชีพทั้งหมดที่มีอยู่​ มีแนวโน้มที่จะนำระบบ Automation เข้ามาใช้ในการทำงานอย่างสมบูรณ์ โดยที่ไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์อยู่เลย ขณะที่ในปัจจุบันนั้นมีภาคธุรกิจจำนวนมากเริ่มนำระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ หรือนำหุ่นยนต์ต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการทำงานต่างๆ โดยมีถึง 60% ที่นำระบบ Automation เข้ามาใช้ในการทำงานแล้วไม่ต่ำกว่า 30% ของจำนวนงานที่ต้องทำทั้งหมด ​

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

พร้อมทั้งยังได้มีการประเมินไว้ว่าขนาดของตลาด Digital Process Automation ทั่วโลกจะมีมูลค่ามากกว่า 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ​ ภายในปี 2024 จากทิศทางในตลาดแรงงานที่ภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มนำระบบ Automation เข้ามาทำงานเพื่อทดแทนแรงงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากข้อดีของระบบที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีมากขึ้น ​โดยเฉพาะการช่วยเรื่องของการตัดสินใจต่างๆ ได้ดีกว่า ช่วยทำให้ต้นทุนลดลง รวมทั้งเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะความสามารถในการผลิตพัฒนาสินค้าได้อย่างรวดเร็วและสามาถเข้าถึงตลาดขนาดที่ใหญ่ได้มากยิ่งขึ้น

ขณะที่ปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวเร่งสำคัญให้ตลาด Digital Automation ขยายตัว โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี AI หรือ Machine Learning มาใช้ในการทำงาน​เพิ่มมากขี้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจสำคัญอย่างกลุ่ม BFSI (Banking, Financial Service, Insurance) รวมทั้งกลุ่มธุรกิจ Retail และ Consumer Goods

ข้อมูลบางส่วนที่ฉายให้เห็นบทบาทและแนวโน้มที่ภาคธุรกิจต่างๆ จะนำระบบ Automation หรือนำหุ่นยนต์ต่างๆ มาทำงานแทนคนในอนาคต​ จากเวทีสัมมนา​ Flagship Summit 2018 : Skills for the Future ในโอกาสครบรอบสถาปนา 80 ปี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn Business School:CBS)​ โดยมีวิทยากรจาก Business School ​ที่ได้รับการจัดอันดับเป็นให้เป็น Business School อันดับ 1 ของฮ่องกง สิงคโปร์​​ และไทย ​จาก QS World University Rankings 2018  ประกอบด้วย

Prof. Kar Yan Tam คณบดี HKUST (School of Business and Management, Hong Kong University of Science and Technology)

Prof. Hum Sin Hoon รองคณบดี NUS (Business School, National University of Singapore)

และ รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดี CBS (Chulalongkorn Business School) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

12 ปีข้างหน้า งาน 85% จะเป็นอาชีพที่ไม่มีในปัจจุบัน

ผลการศึกษา The Next Era of Human-Machine Partnership ระบุไว้ว่า 85% ของงานในปี 2030 คืองานที่ยังไม่มีอยู่ในปัจจุบัน ​ ซึ่งจะเป็นอาชีพใหม่ที่ยังไม่มีใครเคยรู้จัก ​

ขณะเดียวกันพบว่า เด็กๆ กว่า 65% ที่กำลังเรียนอยู่ระดับประถมในขณะนี้ เมื่อเรียนจบออกไปแล้ว จะไปประกอบอาชีพที่ยังไม่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

ดังน้ัน Skillsets หรือชุดทักษะจำเป็นซึ่งจะเป็นที่ต้องการอย่างมา​กในอนาคต คือ ทักษะที่สอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงของ Automation หรือ AI Environment โดยเฉพาะการเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัลหรือเทคโนโลยีชั้นสูงเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของลักษณะงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตามการคาดการณ์ว่างานพื้นฐานต่างๆ จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ทั้งหมด​

ขณะที่มนุษย์จะย้ายไปทำงานใหม่ๆ ที่ลึกซึ้งกว่า โดยเฉพะงานที่ส่วนใหญ่ยังไม่เคยมีมาก่อนเพิ่มมากขึ้น​​ เพื่อเป็นการปรับตัวไปตาม Digital Automation Landscape ที่เปลี่ยนแปลงไป  ซึ่งผู้ที่สามารถปรับตัวและพัฒนาให้มีทักษะเหล่านี้ได้ก็จะเป็นที่ต้องการของตลาด และนำมาซึ่งการได้ค่าตอบแทนที่ดีขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่สามารถพัฒนาให้มีทักษะตามที่ต้องการ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกเลิกจ้าง หรืออาจจะทำให้ได้รับค่าแรงที่ต่ำลงไปอีก ​เป็นผลให้ยิ่งเกิดช่องว่างหรือเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างแรงงานสองกลุ่มนี้ยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคตเช่นกัน ​ ​

ความเห็นเพิ่มเติมจาก รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดี CBS มองว่า​ แม้ทิศทางในอนาคตเรื่องของดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของข้อมูลซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญและนำมาต่อยอดทางธุรกิจเพิ่มทมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันความเข้าใจมนุษย์ด้วยกันก็ยังมีความสำคัญและจำเป็นไม่น้อยไปกว่ากัน ทำให้การพัฒนาทักษะในอนาคตต้องทำควบคู่ไปทั้ง 2 มิติ ทั้งฟากของข้อมูลและเทคโนโลยี (Data & Technological Literacy) รวมทั้งความสามารถในการเข้าใจมนุษย์และสามารถทำงานร่วมกันได้ ​ (Human Literacy) หรือพัฒนาควบคู่กันไปทั้งฝั่งของ Hard Skill และ Soft Skill นั่นเอง

“สิ่งจำเป็นที่สุดคือความสามารถบริหารในการบริหารจัดการ เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภารพทั้งเรื่องของเทคโนโลยี ดาต้า และคน​ โดยเฉพาะในฟากของ​ Soft Skill ที่ต้องให้น้ำหนักมากกว่า​ถึง 60% เนื่องจากหากสามารถเข้าใจและเรียนรู้พฤติกรรมของผู้คน ก็จะมีแนวทางในการนำข้อมูลหรือเทคโนโลยีที่มีอยู่มาต่อยอดได้ ประกอบกับ Hardware หรือความรู้ต่างๆ เป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้จากห้องเรียน หรือตามแหล่งข้อมูลทั่วๆ ไป ​รวมทั้งสามารถที่จะล้าสมัยได้เมื่อเวลาผ่านไป”

4 Human Skill ที่ AI ไม่สามารถ Disrupt  

แม้ความรู้และทักษะด้าน Data Science, Data Engineer, Data Analytic หรือความสามารถในการวิเคราะห์จัดการข้อมูลจะเป็นที่ต้องการสูงและยังเป็นสาขาที่ขาดแคลน แต่ความสามารถด้านซอฟท์สกิลอย่าง Haman Literacy ทั้งความสามารถในการเข้าใจ ทำงานร่วมกันกับคน ความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ ​โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะที่ลึกซึ้งลงไปในระดับที่เป็น Deep Soft Skill ที่สามารถเข้าใจจิตใจและอารมณ์ของคนได้ เพื่อการทำงานร่วมกับเจ้านาย ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานได้ว่ามีความรู้สึกเช่นไร ที่การพัฒนาของ AI ก็ไปไม่ถึงในการสามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะความเฉพาะตัวของ Haman Skill ที่ AI ทำไม่ได้ ประกอบด้วย

Creativity :  ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ คิดนอกกรอบ

Sense : การใช้ประสาทสัมผัส หรือความรู้สึกบ่งบอก ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ มารองรับ เช่น รู้ว่าสิ่งไหนดีกว่า ชอบสิ่งไหนมากกว่า รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งใช่มากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง โดยที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายความคิดต่างๆ เหล่านี้ได้

Emotional : การเข้าใจภาวะอารมณ์​ที่หลากหลายและลึกซึ้งของคน เช่น ความรัก​ โกรธ อิจฉาริษยา ซึ่งเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์ หรือการพัฒนา​ AI ไม่สามารถเข้าใจได้

SQ (Social Quotient) : ความสามารถในการเข้าสังคม พบปะ พูดคุย สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งแม้ว่าจะพยายามพัฒนาระบบหรือเทคโนโลยีเพื่อให้รู้จักและเข้าใจผู้คนมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลส่วนตัวของตัวเอง แต่ให้ความไว้วางใจต่อคนด้วยกันมากกว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ต้องพยายามเสริมทักษะให้ภาคแรงงานในอนาคต นอกจากเรื่องของความรู้ โดยเฉพาะในสายเทคโนโลยีหรือข้อมูลต่างๆ แล้ว ต้องเสริมการพัฒนาทักษะด้าน Soft Skill เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี​ เช่นเดียวกับการปรับการสอนของ CBS ที่พยายามเติมเรื่องของประสบการณ์ตรงให้แก่ผู้เรียนมากขึ้น​ หรือการทบทวนเพื่อปิดการสอนในบางรายวิชาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ขณะที่ความรู้พื้นฐานและทักษะจำเป็นต่างๆ ก็พยายามนำไปควบรวมกับบางวิชาที่มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกัน รวมทั้งปรับคอร์สการสอนออนไลน์ เพื่อย่อยความรู้ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และสอดคล้องกับการเรียนรู้ในสมัยใหม่ ตามแนวคิด Long Life Learning หรือ Continuous Learning รวมทั้งให้ความสำคัญทั้งในฟากของการพัฒนาด้าน Data & Technology Literacy และ Human Literacy เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะและความรู้ตรงกับความต้องการของตลาด

3 ทักษะ และ 8 บุคลิก ที่ผู้นำในอนาคตต้องมี

รศ.ดร. พสุ ยังได้เผยผลวิจัยเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้นำในอนาคต จากการศึกษาและสอบถามผู้นำระดับต่างๆ ในประเทศไทย  พบว่าคุณลักษณะที่สำคัญของผู้นำที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต ต้องมีความสามารถใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1. Change Management คือ ความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ด้วยความกล้าที่จะเสี่ยงแม้สถานการณ์จะคลุมเครือ และสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าใจได้ไปในแนวทางเดียวกัน

2. Inspiring Action คือ การจูงใจทีมงานให้มุ่งผลสัมฤทธิ์ในเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกันให้ได้ โดยเฉพาะในอนาคตจะต้องทำงานร่มกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น จึงต้องเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ได้คิด และตัดสินใจเพื่อให้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมและสนุกกับการทำงาน

3. Thinking คือ วิธีการคิด ที่จะต้องมีวิธีการคิดที่เป็นระบบ คิดไปข้างหน้า และคิดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น​

ผู้นำที่ดี​ยังต้อง​​มีบุคลิกหรือคาแร็คเตอร์ที่เอื้อต่อการ​ขับเคลื่อนองค์กรให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับผู้ร่วมงาน ทั้งในมิติที่เป็นส่วนของงาน และส่วนของความสัมพันธ์​ ดังต่อไปนี้​

1. มีการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

2. นำสิ่งที่เรียนรู้นั้นมาคิดริเริ่มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งกับตนเองและองค์กร

3. ร่วมสร้างวิสัยทัศน์หรือทิศทางในอนาคตขององค์กร โดยผ่านการมีส่วนร่วม

4. สื่อสารถ่ายทอดวิสัยทัศน์ดังกล่าวไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ผ่านการเล่าเรื่อง (Story Telling)

5. เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ จะต้องกล้าที่ตัดสินใจและกล้าที่จะเสี่ยงแม้ข้อมูลจะไม่ครบถ้วนและไม่ชัดเจน

6. ในการทำงานนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับความสำเร็จของงานที่ตัวผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ

7. สามารถที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านการกระตุ้น จูงใจ ให้ทุกคนในองค์กรมุ่งสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานภายใต้ความหลากหลายของคนในแต่ละช่วงอายุ

8. ทั้งหมดข้างต้นจะต้องมีวิธีการและกระบวนการในการคิดอย่างเป็นระบบ (System Thinking) เป็นพื้นฐานที่สำคัญ

Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand


แชร์ :

You may also like