
Photo Credit : CP ALL
เชนร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย “เซเว่น อีเลฟเว่น” (7-Eleven) เตรียมนำเทคโนโลยี AI “Facial Recognition” หรือ “ระบบจดจำใบหน้า” มาใช้สาขาของเซเว่นฯ ทั่วประเทศ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และพนักงาน
“กลุ่มซีพี” ได้จับมือกับ “Remark Holdings” บริษัทพัฒนา AI ที่ดำเนินธุรกิจในจีน และสหรัฐอเมริกา ทั้งยังจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ในการนำเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าชื่อว่า “KanKan” ติดตั้งในสาขาของเซเว่น อีเลฟเว่น 11,000 สาขา ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะเก็บบันทึกข้อมูล และวิเคราะห์ครอบคลุมหลายด้าน เช่น
-พฤติกรรมลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน
-จำนวนลูกค้าเข้าร้าน
-ระยะเวลาที่ลูกค้าอยู่ในร้าน
-การใช้เวลาหน้าชั้นวางสินค้า และจับอารมณ์ของลูกค้าเมื่อเดินผ่านชั้นวางสินค้า
-การให้บริการของพนักงาน
เพื่อนำข้อมูล (Big Data) ที่วิเคราะห์ออกมาแล้ว มาออกแบบเป็น Loyalty Program เช่น โปรโมชั่น นำเสนอให้กับลูกค้าสมาชิกของเซเว่น อีเลฟเว่น และทำให้แต่ละสาขา สามารถคาดการณ์การสต็อกสินค้าแต่ละประเภท แต่ละแบรนด์ได้ถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น เพื่อทำให้การบริหารจัดการสินค้าภายในร้านสาขามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

Photo Credit : Facebook 7-Eleven Thailand
คุณสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวถึงการนำเทคโนโลยี Facial Recognition “KanKan” ว่าเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญครั้งแรกกับ “Remark Holdings” โดยเรามองว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับเซเว่น อีเลฟเว่นในไทย ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุน และเพิ่ม Margin ให้กับธุรกิจ
นอกจากนี้ “กลุ่มซีพี” ยังมีแผนจะนำเทคโนโลยี KanKan ไปใช้กับ “Ping An Insurance” บริษัทดำเนินธุรกิจประกันภัย-ประกันชีวิตรายใหญ่ในประเทศจีน โดยมี “กลุ่มซีพี” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ทางด้าน Kai-Shing Tao ผู้บริหาร Remark ขยายความเพิ่มเติมว่า Artificial Intelligence มีพลังมหาศาลในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม และ “ซีพี” ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างมาก ในการนำไปประยุกต์ใช้การดำเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม Remark เผยว่าเทคโนโลยี “Facial Recognition” จำเพียงเค้าโครงใบหน้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นการจดจำทุกองค์ประกอบของใบหน้าคนเรา จึงแตกต่างจากเทคโนโลยีจดจำใบหน้า และสแกนใบหน้าที่ใช้สำหรับเข้ารหัสอุปกรณ์ หรือโปรแกรมต่างๆ นอกจากนี้ภาพหน้าของลูกค้า จะไม่ถูกจัดเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบถาวร และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า เช่น ชื่อ, หมายเลขโทรศัพท์, ที่อยู่ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า

Photo Credit : CP ALL
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการผู้บริโภค เริ่มนำเทคโนโลยี “Facial Recognition” มาใช้มากขึ้น อย่างเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว “Ant Financial” ผู้ให้บริการด้านการเงินดิจิทัล บริษัทในเครือ Alibaba เปิดตัว “Smile to Pay” เป็นระบบชำระค่าสินค้าด้วยการสแกนใบหน้าที่หน้าจอตู้ให้บริการตัวเองภายในร้าน โดยเริ่มต้นทดลองที่ KFC สาขาหางโจว
หรือแม้แต่ “Seven & I Holdings” ได้เริ่มนำ “Facial Recognition” มาใช้กับเซเว่น อีเลฟเว่นบางสาขาในญี่ปุ่น และไต้หวัน
อย่างไรก็ตามกลุ่มสิทธิพลเมืองเสรีภาพ ได้ออกมาเตือนถึงการเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว เพราะมองว่าข้อมูลเหล่านี้ สามารถแชร์ให้กับคนอื่น เช่น บริษัทประกัน, เครดิตการ์ด หรือแม้แต่หน่วยงานรักษาความมั่นคงของรัฐ
เพราะฉะนั้นแล้ว ภาคธุรกิจ หรือบริษัทใดจะนำเทคโนโลยี “Facial Recognition” ไปใช้ ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เป็นอีกทางหนึ่งของการเก็บ Big Data เพื่อนำมาพัฒนาสินค้า-บริการ-สิทธิประโยชน์ให้ตรงใจลูกค้าเฉพาะบุคคล (Personalization) หรือเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสาขาร้าน หรือภายในองค์กร บริษัทนั้นๆ ต้องมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีดังกล่าว



