สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าไทย สร้างแบรนด์ประเทศไทย ‘The Best Exhibition Nation of ASEAN’ ในฐานะฮับงานแสดงสินค้าแห่งภูมิภาค เชื่อมตลาดโลก–ตลาดอาเซียน ผ่านการดึงงานในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ อาทิ การแพทย์ ดิจิทัล BCG และบริการ รวมทั้งงานที่สอดรับกับเมกะเทรนด์โลกในเรื่องความยั่งยืน ดิจิทัล นวัตกรรม โดยมีพันธมิตรต่างประเทศและภาคเอกชนไทยร่วมขับเคลื่อน
ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บกล่าวว่าการขับเคลื่อนตอกย้ำความชัดเจนให้กับบทบาทอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าไทยและบทบาทประเทศไทยครั้งนี้เป็นการใช้ประโยชน์และต่อยอดจากความแข็งแกร่งและปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆที่ประเทศไทยได้สั่งสมมาจนได้รับการยอมรับจากนานาชาติทั้งในแง่ทำเลที่ตั้งของประเทศในใจกลางภูมิภาคอาเซียนและการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคทำให้มีความสะดวกในการเดินทางเข้ามาประกอบธุรกิจในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานสถานที่จัดงานมีจำนวนเพียงพอมีมาตรฐานสากลและมีผลงานความสำเร็จของการจัดงานระดับนานาชาติสถานที่พักมาตรฐานสากลมีจำนวนให้เลือกสรรและมีผลงานการบริการได้รับรางวัลระดับโลกนโยบายภาครัฐเปิดกว้างทางการค้าและการลงทุน
มีการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น การแพทย์ อาหาร พลังงาน ดิจิทัล ล้วนสร้างโอกาสทางธุรกิจในหลากหลายสาขา ประกอบเข้ากับระบบนิเวศอุตสาหกรรมการแสดงสินค้ามีความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหว่างภาครัฐและเอกชน จึงเป็นปัจจัยทำให้ในรอบทศวรรศที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงานแสดงสินค้าระดับ ASEAN Edition หลายรายการของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ตอกย้ำบทบาทประเทศไทยเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการนานาชาติเจาะตลาดอาเซียนและเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการของอาเซียนเข้าถึงตลาดโลก โดยมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนคือ พื้นที่จัดแสดงสินค้านานาชาติที่มากเป็นอันดับ 4 ของเอเชียและอันดับ 1 ของอาเซียน และเฉพาะในปีงบประมาณ 2569 งานแสดงสินค้านานาชาติหน้าใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากทีเส็บและมีกำหนดจัดในไทยจนถึงขณะนี้ มีจำนวน 9 งาน มีทั้งงานของผู้ประกอบการไทย อินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เยอรมนีและสหราชอาณาจักร
การเดินหน้าสร้างแบรนด์ประเทศไทยครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดจากศักยภาพโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพงาน Gastech 2026 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าและการประชุมด้านพลังงานแก็สที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเจ้าภาพงาน UFI Asia Pacific 2026 ซึ่งเป็นการประชุมของบุคลากรมืออาชีพด้านอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของสมาคมการแสดงสินค้าโลก หรือ UFI และยังเป็นการใช้พลวัตรการเติบโตของอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าไทยในปัจจุบันและความเชื่อมั่นในประเทศไทยของนักธุรกิจต่างชาติให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างบทบาท The Best Exhibition Nation of ASEAN เพราะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มีงานแสดงสินค้านานาชาติมากกว่า 30 งานในหลากหลายอุตสาหกรรมที่จะเปิดตัวเพื่อซื้อขายทางธุรกิจ โดยมีงานในภาคอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ อาทิ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน และอุตสาหกรรมบริการ งานขนาดใหญ่ทั้ง 2 งานข้างต้นและจำนวนงานแสดงสินค้านานาชาติคือดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งของนักธุรกิจต่างชาติในการเลือกประเทศไทยเป็นฐานในการจัดงานแสดงสินค้า
ทั้งนี้ ประมาณการตัวเลขในช่วงปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าเป็นภาคส่วนที่สร้างรายได้และดึงดูดนักเดินทางไมซ์สูงสุด มีมูลค่ารวมกว่า 103,000 ล้านบาท จำนวนนักเดินทางแบ่งเป็นนักเดินทางในประเทศ 23,229,309 คนและนักเดินทางจากต่างประเทศ 356,262 คน ส่วนในปี 2569 ทีเส็บคาดว่าอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าไทยจะสร้างรายได้กว่า 113,000 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 10
“การผลักดันเป้าหมาย The Best Exhibition Nation of ASEAN ให้เกิดผล ทีเส็บจะประสานพลังกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้จัดงาน สมาคมวิชาชีพ ไปจนถึงเครือข่ายนานาชาติเพื่อสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมไมซ์ที่เข้มแข็ง และจะใช้งานระดับโลกที่จะเข้ามาจัดในประเทศไทย อาทิ งาน Gastech 2026 และงาน UFI Asia Pacific 2026 เป็นตัวตั้งต้นของการประสานพลังผลักดันให้การจัดงานประสบผลสำเร็จ เพื่อเป็นเวทีพิสูจน์ความสามารถในการจัดงานของประเทศไทยและเพื่อเป็นโอกาสสร้างแบรนด์ระดับโลกให้กับประเทศ การประสานพลังยังครอบคลุมไปถึงเป้าหมายร่วมกันในการดึงงานประเภท High Impact และ High Value เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้แสดงบทบาทในการขับเคลื่อนการสร้างแบรนด์ประเทศไทย
โดยมี 5 คลัสเตอร์หลักที่ทีเส็บให้ความสำคัญ ได้แก่ การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัล ยานยนต์สมัยใหม่ BCG (เศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ แปรรูปอาหาร) และบริการ (ท่องเที่ยวสุขภาพ ท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี การบินและโลจิสติกส์ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลที่ต้องการสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และยังเป็นการวางรากฐานให้ประเทศไทยสามารถต่อยอดสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยใช้อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศทั้ง 5 คลัสเตอร์หลักอย่างเป็นระบบ” ดร.ศุภวรรณ กล่าว
ดร.ศุภวรรณ กล่าวเสริมว่า การสร้างแบรนด์ประเทศไทย “The Best Exhibition Nation of ASEAN” หรือประเทศแห่งการจัดงานแสดงสินค้าที่ดีที่สุดของภูมิภาค พร้อมเทียบชั้นเวทีระดับโลก จะนำเสนอคุณลักษณะประเทศตั้งแต่ขนาดและมาตรฐานพื้นที่ที่ปัจจุบันไทยมีพื้นที่จัดงานรวมใหญ่อันดับ 4 ของเอเชีย และเบอร์หนึ่งในอาเซียน ไปจนถึงความยืดหยุ่นของสถานที่ที่รองรับได้ทั้งงานอุตสาหกรรมเฉพาะทาง งานไฮบริด อีเวนต์นานาชาติขนาดใหญ่ โครงสร้างพื้นฐานครบวงจร ศูนย์แสดงสินค้า–ศูนย์ประชุมมาตรฐานสากล และการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง โลจิสติกส์ที่เชื่อมระหว่างภูมิภาค ทั้งนี้ ได้วางยุทธศาสตร์การสร้างแบรนด์เชิงรุกที่ครอบคลุมทั้งมิติของภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคม ผ่านวิสัยทัศน์ “Change That Matters” เพื่อใช้งานแสดงสินค้าเป็นเครื่องมือสร้างคุณค่าเชิงลึกต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี 4 กลยุทธ์หลักประกอบด้วย
- Global Reach – ดึงงานระดับโลกที่ตอบโจทย์คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น เฮลท์เทค ดิจิทัล ยานยนต์สมัยใหม่ พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจหมุนเวียน เข้ามาจัดในไทย เพื่อสร้าง High Impact & High Value ต่อระบบเศรษฐกิจ
- Local Strength – ยกระดับงานภายในประเทศให้เป็น Flagship Events ที่สามารถดึงดูดผู้ประกอบการจากทั่วโลกและสร้างคุณค่าให้กับผู้ประกอบการไทย
- Organisation Transformation – ปรับองค์กรสู่ระบบดิจิทัล ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการแข่งขันระดับโลก
- Capabilities Excellence – ยกระดับบทบาทของทีเส็บ ให้เป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policy Shaper)
สร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม และพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นมืออาชีพระดับสากล
คุณปนิษฐา บุรี ประธานสมาคมการแสดงสินค้าโลกประจำปี (UFI) พ.ศ. 2568 – 2569 ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและและทิศทางอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าโลก กล่าวว่า อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญของโลก มีบทบาทเชื่อมโยงผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ผู้จัดงาน ผู้แสดงสินค้า ผู้ซื้อ และผู้ขาย สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและขยายโอกาสทางธุรกิจจากการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการจ้างงาน ข้อมูลรายงาน Global Economic Impact of Exhibitions 2025 โดยสมาคมการแสดงสินค้าโลก (UFI) และ Oxford Economics ระบุว่า ในปี 2024 งานแสดงสินค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19 ของมูลค่าตลาดโลก และคาดว่า ปีนี้ตลาดอาเซียนจะเติบโตต่อเนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดย 3 เทรนด์ที่อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้ากำลังให้ความสำคัญ ได้แก่ ความยั่งยืน (Sustainability) ที่มุ่งเน้นลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการจัดงาน, ดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital Innovation) เน้นใช้เทคโนโลยีในการจัดงาน และประสบการณ์เหมือนจริง (Immersive Experience) เช่น การใช้ Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) สร้างประสบการณ์ให้ผู้เข้าชมจากทั่วโลกเชื่อมต่อสัมผัสงานในรูปแบบไฮบริดและโลกเสมือนจริง
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติในการเป็นฮับในภูมิภาคนี้ จากระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่สนับสนุน และนโยบายภาครัฐในด้านการเปิดเสรีทางการค้า การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และมีนโยบายความยั่งยืนที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลก ส่งผลให้สมาคมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าโลก หรือ UFI ให้ความไว้วางใจเลือกไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน UFI Asia Pacific Conference 2026 งานประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่รวบรวมผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก มาร่วมประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ระหว่างผู้จัดงาน ผู้แสดงสินค้า ตัวแทนสถานที่จัดงานและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม เพื่อหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และขยายเครือข่ายความร่วมมือกับผู้แสดงสินค้าในภูมิภาคและระดับโลกด้วย
“เรามีความร่วมมือกับทีเส็บมาอย่างยาวนาน และการจัดงาน UFI Asia Pacific 2026 ในครั้งนี้ ยังเป็นการตอกย้ำถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างกัน และทำให้ประเทศไทยใช้โอกาสการจัดงานแสดงศักยภาพการเป็นฮับงานแสดงสินค้าในภูมิภาคเพื่อต้อนรับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าทั่วโลกมาร่วมประชุม และสร้างโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมในอนาคตอีกด้วย” นางสาวปนิษฐา กล่าว
คุณสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป–ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ออแกไนเซอร์อันดับหนึ่งของโลกที่ใช้ไทยเป็นฮับจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติในอาเซียน กล่าวว่า อินฟอร์มามองประเทศไทยเป็น Strategic Hub ที่สำคัญที่สุดในอาเซียน และเป็นตลาดหลักในการเชื่อมต่อผู้ประกอบการจากทั่วโลกเข้าสู่ภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายใต้ยุทธศาสตร์การขยายพอร์ตงานระดับโลกของบริษัท ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อินฟอร์มามีแผนเพิ่มงานใหม่ในประเทศไทยกว่า 5 งาน จากเดิมที่จัดอยู่แล้ว 15 งาน พร้อมทั้งขยายงานเดิมที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เช่น ProPak Asia, Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok, Asia Sustainable Energy Week, Fi Asia และ Vitafoods Asia ให้เติบโตทั้งในด้านพื้นที่จัดงาน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี และจำนวนผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าดึงผู้เข้าร่วมจากกว่า 76 ประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า
56,000 ล้านบาทต่อปี
สำหรับจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ไทยได้รับความเชื่อมั่นจากผู้จัดงานระดับโลก คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดงานที่มีขนาดใหญ่และได้มาตรฐานสากล พื้นที่รวมอันดับ 4 ของเอเชีย ระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระบบนิเวศที่เอื้อให้เกิดการทำธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งในแง่ของภาครัฐที่มีนโยบายส่งเสริมชัดเจน ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพสูง ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้า ทำให้ไทยไม่ใช่เพียงสถานที่จัดงานแต่กลายเป็น Launchpad ของอุตสาหกรรมระดับโลก ที่จะขยายตลาดเข้าสู่อาเซียนและภูมิภาคใกล้เคียง โดยในเชิงกลยุทธ์ อินฟอร์มาจะให้ความสำคัญกับ กลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ที่สอดรับกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ การแพทย์และสุขภาพ (Health & Wellness) ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Digital & AI) BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ–หมุนเวียน–สีเขียว และการแปรรูปอาหาร) และกลุ่มบริการ เช่น ท่องเที่ยวสุขภาพ โลจิสติกส์ และการพัฒนาบุคลากร ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนและการลงทุนที่จับต้องได้ในระยะสั้น พร้อมกับการสร้างรากฐานให้ไทยเป็นฐานยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมยุคใหม่ในระยะยาว
“ประเทศไทยถือเป็นตลาดยุทธศาสตร์หลักที่มีความพร้อมรอบด้าน ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ขนาดใหญ่ และระบบการอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการลงทุนระดับโลก ทำให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาคอย่างเต็มตัว ซึ่งอินฟอร์มาจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือเชิงพันธมิตรกับภาครัฐและภาคเอกชนไทย เพื่อร่วมกันดึงงานระดับ High Impact & High Value เข้ามาจัดในประเทศอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้จัดงานทั่วโลกที่มีต่อประเทศไทย”







