HomeSponsoredเจาะลึก “น้ำมันอากาศยาน” อีกหนึ่งธุรกิจ เบื้องหลังการขับเคลื่อนประเทศและสร้างการเติบโตของ OR

เจาะลึก “น้ำมันอากาศยาน” อีกหนึ่งธุรกิจ เบื้องหลังการขับเคลื่อนประเทศและสร้างการเติบโตของ OR

แชร์ :

ที่ผ่านมา เราอาจคุ้นเคยกับ “บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR)” ในฐานะผู้ให้บริการพลังงานและค้าปลีกไทย ผ่านธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสถานีบริการ PTT Station, ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants, ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto รวมไปถึงสถานีชาร์จไฟฟ้า EV Station PluZ, และ Café Amazon แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า OR ยังมีอีกหลายธุรกิจที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนประเทศ หนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจน้ำมันอากาศยาน ซึ่งไม่ใช่แค่น้ำมันเจ็ตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงน้ำมันพลังงานสะอาดสำหรับอากาศยาน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ด้วย

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

หลายคนคงสงสัยว่า ธุรกิจน้ำมันอากาศยานของ OR เติบโตแค่ไหน และ SAF ดีต่อธุรกิจการบินอย่างไร Brand Buffet จึงชวนมาคุยกับ OR ผู้อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนธุรกิจน้ำมันเครื่องบินหลายโครงการ เพื่อให้ทุกคนรู้จักอีกมุมของ OR ให้มากขึ้น พร้อมการเติบโตของ SAF หรือ น้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืนในอนาคต

ต่อยอดน้ำมันในปั๊ม สู่เครื่องบิน

แม้ OR จะเริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นผู้ให้บริการน้ำมันในปั๊ม และวันนี้ “น้ำมันสำหรับรถยนต์” ยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัท แต่ก็ผันผวนตามราคาน้ำมันโลก แต่ยังมีอีกธุรกิจที่เสริมความแข็งแกร่งทางด้านการเงินให้กับ OR และสามารถสร้างเครือข่ายไปได้ทั่วโลก นั่นคือ ธุรกิจการขายและการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน

โดย OR มีการขายน้ำมันอากาศยานมาอย่างยาวนาน โดย OR ได้นำเทคโนโลยีและระบบบริหารจัดการมาปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพ ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และสอดรับกับความต้องการของตลาดการบิน ส่งผลให้ธุรกิจน้ำมันอากาศยานของ OR เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในด้านรายได้และส่วนแบ่งตลาด ปัจจุบัน OR เป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด และยังมีกลุ่มโรงกลั่นที่อยู่ภายใต้ กลุ่ม ปตท. ที่สนับสนุนการผลิตให้กับ OR  ถึง 3 บริษัท คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยคิดเป็น 65% ของกำลังผลิตในประเทศ

“คุณภาพ-ความปลอดภัย” เบื้องหลังมัดใจสายการบินทั่วโลก

ปัจจุบัน OR ขยายการขายน้ำมันอากาศยานครอบคลุม 18 ประเทศ รวม 122 สนามบิน โดยมีทั้งสายการบินประจำชาติและสายการบินระหว่างประเทศ ซึ่งการทำตลาดจะแตกต่างจากในประเทศที่จะเน้นสร้างความเชื่อมั่น โดยอาศัยจุดแข็งของการเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ และเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทุกสนามบิน ขณะที่ต่างประเทศ จะใช้แนวทางการสร้างเครือข่ายพันธมิตร โดยร่วมกับบริษัทน้ำมันแห่งชาติหรือผู้ให้บริการรายใหญ่ในแต่ละประเทศในรูปแบบ Reciprocal Partnership ด้วยการจัดหาน้ำมันในประเทศให้กับพาร์ทเนอร์ และพาร์ทเนอร์ก็ดูแลจัดหาน้ำมันให้ลูกค้าของ OR เมื่อเดินทางไปต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือและไม่จำเป็นต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเองในทุกประเทศ

ถึงจะเชี่ยวชาญในการให้บริการน้ำมันในปั๊ม แต่สำหรับ OR แล้ว การทำธุรกิจน้ำมันอากาศยานไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหัวใจสำคัญของธุรกิจนี้ อยู่ที่ “คุณภาพ” และ “ความปลอดภัย” ตามมาตรฐาน Joint Inspection Group หรือ JIG Standard จึงต้องมีทั้งเทคโนโลยีการผลิตที่ดี และบุคลากรที่มีความรู้ในการเติมน้ำมันตามมาตรฐานสากล ดังนั้น นอกจากการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิต ระบบการจัดเก็บ จนถึงการจัดส่ง และการเติมน้ำมันเข้าเครื่องบินให้ได้ตามมาตรฐานแล้ว บุคลากรทุกคนยังได้รับการฝึกอบรมจนได้มาตรฐานสากล และหลายคนยังได้รับการรับรองเป็น JIG Inspector หรือผู้ตรวจสอบ จึงทำให้ธุรกิจน้ำมันอากาศยานของ OR ได้รับการยอมรับจากสายการบินทั้งในและต่างประเทศ

มาตรฐานการเติมน้ำมันอากาศยานในระดับสากล มีข้อกำหนดเข้มงวดและขั้นตอนการทำงานชัดเจน ทุกพื้นที่ที่ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานต้องรักษามาตรฐานสากลทั้งในด้านคุณภาพน้ำมันและความปลอดภัย และจะถูกตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบที่ได้การรับรองและมอบหมายจาก JIG

ผุด SAF หนุนการบินสีเขียว

แม้ธุรกิจน้ำมันอากาศยานของ OR จะเติบโตต่อเนื่อง แต่ธุรกิจการบินเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะหลังโควิด ทั้งในด้านความต้องการน้ำมันอากาศยานที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของการเดินทางโดยเครื่องบิน และความต้องการด้านพลังงานสะอาดจากการที่โลกมุ่งสู่การลดการปล่อยคาร์บอน จึงทำให้สายการบินต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับ “น้ำมันอากาศยานยั่งยืน” หรือ “Sustainable Aviation Fuel (SAF)”  มากขึ้น

เป็นเพราะ SAF ผลิตจากวัตถุดิบชีวมวล ทั้งน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว และของเสียจากอุตสาหกรรม ที่นำมาผ่านการกระบวนการ เพื่อนำมาผสมกับ JET A1 จึงช่วยลดการปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประกอบกับ JIG Standard ได้จัดทำกระบวนการทำงาน ตั้งแต่การผลิต การเติมน้ำมันเข้าเครื่อง ตลอดจนการดูแลรักษาและการควบคุมไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้เกิดความมั่นใจ และผลักดันให้หลายประเทศเริ่มมีนโยบายบังคับใช้ SAF มากขึ้น

นั่นเลยเป็นที่มาให้ OR ลุยพัฒนา SAF ทั้งการศึกษาวิจัย ผลิต และเริ่มทดลองให้บริการเติมน้ำมัน SAF เข้าเครื่องบินมาตั้งแต่ปี 2566 เที่ยวบินแรกที่ใช้ SAF คือ เที่ยวบินภูเก็ต-กรุงเทพฯ และปัจจุบันมีสายการบินในประเทศและต่างประเทศหลายสายหันมาใช้ SAF เพิ่มขึ้น ซึ่งทุกโครงการสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดในมาตรฐานสากล

ด้วยกฎบังคับให้สายการบินเพิ่มสัดส่วนการใช้ SAF และเทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ทำให้ OR เชื่อว่า SAF ยังคง “เติบโต” เพิ่มขึ้น แต่ยอมรับว่า “ต้นทุนการผลิต” ที่สูงกว่าน้ำมันเจ็ตแบบเดิม และ “ปริมาณวัตถุดิบ” ที่มีจำกัด ยังเป็นโจทย์ท้าทายของการเติบโตขยายตัว ซึ่งหากทำให้ต้นทุนต่ำลงได้ จะช่วยให้ SAF ขยายตัวได้เร็วขึ้น โดยกุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่ “ความร่วมมือ” โดยต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาครัฐและสายการบิน เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางและมาตรการจูงใจให้เกิดการใช้มากขึ้น

ดังนั้น ในอนาคต OR ยังเดินหน้าพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืน เพื่อลดการปล่อย CO2 ในธุรกิจการบินสู่พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสื่อสารให้สายการบินเห็นความสำคัญของการใช้ SAF อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้ไทยสามารถเป็น Hub ด้านการบินของภูมิภาคอย่างเต็มภาคภูมิ

นี่คือ เบื้องหลังการดำเนินธุรกิจน้ำมันอากาศยาน อีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างการเติบโตอย่างน่าสนใจให้กับ OR และยังสะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอุตสาหกรรมการบินสีเขียวให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน


แชร์ :

You may also like