ปี 2568 นับเป็นปีที่วงการธุรกิจและการตลาดของประเทศไทยต้องเผชิญกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ซัดถาโถมเข้ามาในทุกมิติ ตั้งแต่ปมความขัดแย้งภายในตระกูลธุรกิจเก่าแก่ที่เกี่ยวพันกับเมกะโปรเจกต์ระดับโลก ไปจนถึงมรสุมจากนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่าง “Trump 2.0” ที่บีบให้ภาคการส่งออกไทยต้องเร่งปรับตัวอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด ขณะเดียวกัน เรายังได้เห็นการแจ้งเกิดของกระแส “Mascot Marketing” ที่เปลี่ยนความน่ารักให้กลายเป็นเม็ดเงินมหาศาล รวมถึงการรุกคืบของเทคโนโลยี AI และแพลตฟอร์ม E-Commerce รูปแบบใหม่ที่เข้ามาทลายขอบเขตเดิมๆ ของการค้าและการสื่อสาร ไปจนถึงเรื่องเดือดๆ ของ “สงครามสุกี้” ที่ร้อนแรงตลอดปี ทั้งหมดนี้คือ 10 ปรากฏการณ์สุดร้อนแรงที่สั่นสะเทือนวงการธุรกิจไทยตลอดทั้งปี ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวสาร แต่คือบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และการปรับตัวในโลกธุรกิจยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวน
1. ปมขัดแย้งศึกสายเลือด “ดุสิตธานี” และการเปิด “เซ็นทรัล พาร์ค” จิ๊กซอว์สำคัญเมกะโปรเจกต์ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค”
ปี 2568 “ดุสิตธานี” มีความเคลื่อนไหวสำคัญ จากปมขัดแย้งศึกสายเลือดทายาทของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งดุสิตธานี คือ คุณชนินทธ์ โทณวณิก, คุณสินี เธียรประสิทธิ์ และ คุณสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค โดย 2 พี่น้อง คุณสินี และคุณสุนงค์ ได้เสนอวาระถอดถอนพี่ชาย คือ คุณชนินทธ์ ออกจากกรรมการ บมจ. ดุสิตธานี จากประเด็นการบริหาร ดุสิตธานีที่ไม่ได้จ่ายเงินปันผลมากว่า 5 ปีแล้ว และปัญหาการขาดทุนสะสม จึงต้องการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานของดุสิตธานี แต่ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ก็ “ไม่อนุมัติ” วาระถอดถอน คุณชนินทธ์ ให้พ้นตำแหน่งกรรมการ
ล่าสุด วันสุดท้ายของการทำงานในรอบปี คุณชนินทธ์ ก็จบศึกสายเลือด ด้วยการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดุสิตธานี (สัดส่วนถือหุ้น 49.74%) โดยซื้อหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 15.96% จากคุณสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (น้องสาวคุณชนินทธ์) หลังจากซื้อหุ้นดังกล่าว ทำให้คุณชนินทธ์ ถือหุ้นในบริษัทชนัตถ์และลูก รวมเป็นสัดส่วนเป็น 41.36% ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด
ในช่วงที่มีความวุ่นวายจากปมขัดแย้งศึกสายเลือดดุสิตธานี ก็เป็นจังหวะเดียวกับแม่ทัพหญิง คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดุสิตธานี เพื่อเข้ารับตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ในรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ขณะที่ “ดุสิตธานี” ได้แต่งตั้ง คุณชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง เพื่อบริหารจัดการและนโยบายต่างๆ ในระยะเปลี่ยนผ่าน
ช่วงปลายปีเดือนพฤศจิกายน 2568 กับการเปิดตัวของ “เซ็นทรัล พาร์ค” (Central Park) หนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญของเมกะโปรเจกต์ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ที่มีทั้ง โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ (เปิดบริการก่อนในเดือนกันยายน 2567) ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าได้เปิดบริการเต็มรูปแบบ พร้อมไฮไลต์สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย “สวนดุสิตอรุณ” ถึงแม้ว่าข่าว “ดุสิตธานี” จะเป็นข่าวที่สนั่นสุดๆ ในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งปมความขัดแย้งในครอบครัว เชื่อมโยงถึงการลงทุนในโครงการมูลค่ามหาศาลบนทำเลทอง แต่ในที่สุดก็ปิดจบลงได้อย่างสวยงาม ถือเป็นการประกาศศักดาของโครงการ Mixed-use สร้างหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก และท่องเที่ยวระดับ World Class ให้กับประเทศไทย
2. ภาษี “Trump 2.0” ระส่ำ ภาคการส่งออกไทย
การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงต้นปี 2568 นำมาซึ่งนโยบายภาษีนำเข้าที่เข้มงวดทั่วโลก ตามที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศนโยบายหาเสียงไว้ ทำให้วงการส่งออกของไทยระส่ำด้วยความกังวลในอัตราภาษี โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ธุรกิจไทยต้องปรับตัวอย่างหนักไม่ว่าจะเป็น เริ่มเบนเข็มจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ไปยังตลาดใหม่อย่างตะวันออกกลางและอาเซียนมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง หลังจากมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ อาจเก็บภาษีสินค้าไทยสูงถึง 36% ขณะเดียวกันรัฐบาลไทย ได้เร่งเจรจาในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 ไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีลงมาอยู่ที่ 19% เพื่อแลกกับการเปิดรับสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาษี Trump ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่รัฐบาลสหรัฐหยิบยกงัดมาใช้ในเวทีเจรจาความขัดแย้งในด้านอื่นๆ ดังนั้น ไทยเองก็ยังคงต้องเดินหน้าสร้างพลังต่อรองในด้านต่างๆ เพื่อคงอัตราภาษีที่จะทำให้ภาคการค้าของไทยยังแข่งขันบนเวทีโลกให้ได้ในระยะยาว
3. ยักษ์ใหญ่ IT แห่ ปักหมุด Data Center ในไทย
ในปี 2568 นี้ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ยังได้รับความสนใจสูงในแวดวงเทคโนโลยีคืออุตสาหกรรม Data Center ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Microsoft และ AWS สร้างความเคลื่อนไหวตลอดทั้งปี ตั้งแต่ Google ที่เคยมีการประกาศมูลค่าเอาไว้ที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในการสร้าง Data Center และ Cloud Region ในประเทศไทยเมื่อปี 2024 ตามมาด้วย AWS ที่มีการประกาศตัวเลขไว้ที่ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ระยะเวลา 15 ปี) และ Microsoft ที่เป็นการจับมือกับ Gulf ภายใต้บริษัทลูกอย่าง GSA02
ทั้งนี้ การขยายตัวดังกล่าวยังได้ส่งผลต่อเนื่องภาพรวมเศรษฐกิจของไทย โดยข้อมูลจากวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่า ในปี 2025-2027 รายได้รวมของอุตสาหกรรม Data Center ในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 7.5-8.5% ต่อปี จากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Transformation) ของหน่วยงานรัฐและองค์กรต่าง ๆ ซึ่งเน้นการประมวลข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ โดยมีแรงหนุนจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น การลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ยังตอบโจทย์ผู้เล่นในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (IT & Telecommunication) อุตสาหกรรมการเงิน การธนาคาร และประกันภัย หรือ BFSI (Banking, Financial Services, and Insurance) โดยเฉพาะการลงทุนของต่างชาติที่มีแนวโน้มเข้ามามากขึ้นด้วย เนื่องจาก Data Center ถือเป็นเทคโนโลยีต้นน้ำที่สำคัญ และรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ (S-curve industries) นั่นเอง ข้อมูลในปี 2024 ยังพบด้วยว่า ประเทศที่มีจำนวน Data Center มากที่สุดในโลกคือ สหรัฐอเมริกา (5,388 แห่ง) ตามด้วย เยอรมันนี (522) และสหราชอาณาจักร (517) ส่วนประเทศในกลุ่มอาเซียน พบว่าไทยอยู่ในอันดับ 4 รองจาก สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย โดย Data Center ในประเทศไทยมักกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ หัวเมืองรอง และนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก
4. Mascot Marketing หมีเนยยังฮีลใจ GMMTV ก็มาแรง
จาก “มาสคอต” ของแบรนด์ กลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ที่ทรงพลังที่สุดของปี “น้องเนย” และเหล่าแก็งค์มาสคอตของ GMMTV ได้สร้างปรากฏการณ์ในวงการตลาด ไม่เพียงแต่กระแสในไทย แต่ยังโด่งดังไปถึงทั่วเอเชีย สร้างรายได้มหาศาลจากการขายสินค้าและค่าลิขสิทธิ์
แบรนด์จำนวนมากหันมาทำ Collab กับ IP เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ “Character Marketing” ที่ไม่ได้มีไว้แค่ความน่ารัก แต่เป็นเครื่องมือสร้าง Engagement และยอดขายที่มีประสิทธิภาพ นำโดย ศิลปินฉาววัยฉามขวบที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งปี 2568 “น้องเนย” จาก Butterbear ที่ปีนี้เราได้เห็นกระท้อนและพุงเต่งเดินทางเฉิดฉายโชว์ตัวยังต่างประเทศถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลี สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมในตัวน้องเนย รวมทั้งผลงาน Collaboration ที่เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์ ทั้งในและต่างประเทศ สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์และ Merchandise หลักหลายร้อยล้าน ความน่ารักฮีลใจของน้องเนย ทำให้ยัยหนูสามารถขึ้นแท่นเจ้าแม่ Sold Out ชนิดที่ไม่มีอะไรที่น้องเนยทำไม่ได้ ยกเว้นไปโยงเยียน
ขณะเดียวกัน ทาง GMMTV ก็การสร้างระบบนิเวศ “Mascot Fandom” ขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง ผ่านการสร้างมาสคอตประจำตัวศิลปินและคู่จิ้น ซึ่งกลายเป็นคอนเทนต์และรายได้ที่น่าจับตามองของค่ายนี้ เมื่อ ทาง GMMTV ได้ครีเอทมาสคิตที่มีสตอรี่เป็นลูกของคู่จิ้นทำให้มีคาแร็กเตอร์และนิสัยถอดแบบมาจากพ่อพ่อของตัวเอง นำโดย Polcasan หรือยัยซัง ลูกสุดแสบของ เต-ตะวัน กับ นิว-ฐิติภูมิ / Meta มาสคอตที่เน้นภาพลักษณ์ความหรูหราและไลฟ์สไตล์ตามแบบฉบับ Fashionista ตัวพ่ออย่าง วิน เมธวิน หรือที่กำลังมาแรง อย่าง Avocean แพทย์สนาม ที่ได้จิตวิญญาณความเป็นหมอมาจาก หมอจิมมี่-จิตรพล และ ซี-ทวินันท์ ฯลฯ คาแร็กเกตอร์เหล่านี้ กลายเป็นจุดเชื่อมโยงใหม่ ที่ GMMTV สร้างสรรค์ขึ้น แฟนคลับที่ชื่นชอบคู่จิ้นหรือตัวศิลปินหลักอยู่แล้วก็มีโอกาสจะให้กับสนับสนุนมาสคอตเหล่านี้ไปด้วย หรือความชื่นชอบให้ตัวมาสคอตก็ส่งผลมาสู่ศิลปินด้วยเช่นกัน ในปี 2568 มีแบรนด์สินค้าก็ให้ใช้ความน่ารักของมาสคอตมาเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญการตลาด เช่น Osotspa (โอสถสภา) เปิดตัวคอลเลกชันพิเศษ “Babi Mild & Twelve Plus x GMMTV Fandom Characters” โดยนำคาแรกเตอร์มาสคอตเหล่านี้มาอยู่บนบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้สินค้าธรรมดากลายเป็น “Collectible Item” ที่แฟนคลับต้องกวาดซื้อจนหมดเชลฟ์ภายในไม่กี่ชั่วโมง
5. การเติบโตของ “Longevity Business”
เทรนด์ Longevity หรือ “การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ” เกิดจากหลายปัจจัยอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่ประเทศไทยไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย พฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ทั้ง Gen Y และ Gen Z ก็ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ กลายเป็นเทรนด์การใช้จ่ายเพื่อความแข็งแรงและชีวิตที่ยืนยาวกลายเป็น “มาตรฐานใหม่ของความลักชูรี่” และมีแรงจูงใจสูงในการลงทุนด้านสุขภาพของตัวเอง
เมื่อสภาพแวดล้อมและอินไซต์ของผู้บริโภคมีแนวโน้มจะใส่ใจเรื่องสุขภาพมาขึ้นจนกลายเป็นเมกะเทรนด์อย่างแท้จริง หลายอุตสาหกรรมจึงเริ่มปรับตัวและสร้างบริการ–ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ตลาดนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ การชะลอวัย (Anti-Aging) และ Wellness Center โดยเฉพาะในย่านเมือง กลุ่มเป้าหมายไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ แต่เป็นคนวัยทำงานที่ยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อ “การป้องกันดีกว่าการรักษาและยืดอายุคุณภาพชีวิต”
ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องก็ปรับตัว เพื่อเกาะเกี่ยวเทรนด์นี้ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น ตลาดที่อยู่อาศัยที่เน้นการออกแบบเพื่อชีวิตยืนยาว เช่น Senior Living, Retirement Communities ที่พ่วงบริการอื่นๆ ให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น หรือยามเจ็บป่วยก็มีบริการฉุกเฉิน หรือ ธุรกิจการเงิน–ประกันชีวิต ไปจนถึงดีไวซ์ อุปกรณ์ต่างๆ ที่เน้นสื่อสารเพื่อตอบโจทย์เทรนด์นี้มากขึ้น
6. “ความบันเทิง” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของแพล็ตฟอร์ม E-Commerce
สำหรับปี 2025 ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยไม่ได้แข่งขันกันเพียงเรื่องราคาอีกต่อไป แต่กำลังขยับเข้าสู่สนามการแข่งขันใหม่ นั่นคือ ใครสามารถทำให้การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็น “ความบันเทิง” ได้มากกว่า
ความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนชัดผ่านรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (e-Conomy SEA Report) ของ Google, Temasek และ Bain & Company ที่มอบตำแหน่ง “ตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ให้กับประเทศไทย โดยหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จุดประกายความร้อนแรงให้ตลาดมาอย่างต่อเนื่อง คือ TikTok Shop
ความเคลื่อนไหวที่เห็นได้ชัด คือปรากฏการณ์ไลฟ์มาราธอนของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการไลฟ์ขายสินค้าแบบยาวต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงพลังของคอนเทนต์ที่สามารถดึงผู้ชมให้อยู่กับหน้าจอ พร้อมเปลี่ยนความบันเทิงให้กลายเป็นยอดขายจำนวนมหาศาลในเวลาเดียวกัน จนกลายเป็นกรณีศึกษาที่ตอกย้ำว่า อีคอมเมิร์ซยุคใหม่ไม่ได้เริ่มจากการค้นหาสินค้าอีกต่อไป แต่เริ่มจากการ “ดูเพลิน” แล้วค่อยตัดสินใจซื้อในภายหลังแทน
นอกจากนี้ เบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าว ยังสะท้อนถึงความเข้าใจอินไซต์ผู้ใช้งานของ TikTok Shop อย่างลึกซึ้ง โดยแพลตฟอร์มวางตำแหน่งการช้อปปิ้งให้อยู่ในบริบทของความบันเทิง หรือที่เรียกว่า “Shoppertainment” ตั้งแต่การใช้วิดีโอสั้นและไลฟ์สตรีมเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบสินค้า ไปจนถึงการพัฒนาโซลูชันที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นระหว่างไลฟ์ เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถดึงความสนใจของผู้ชมได้ตลอดการถ่ายทอด ที่สำคัญ กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การค้นพบสินค้า ไปจนถึงการชำระเงิน สามารถจบได้ภายในแอปเดียว โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องออกไปยังแพลตฟอร์มอื่น
ศักยภาพของ TikTok Shop ในระดับโลกก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น เมื่อ EchoTik บริษัทด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินว่า TikTok Shop มีขนาดธุรกิจใกล้เคียงกับ eBay แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติอเมริกัน จากความสามารถในการสร้างยอดขายสูงถึง 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 ขณะที่ eBay ทำยอดขายได้ราว 20,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เติบโตจากคอนเทนต์และความบันเทิง กำลังไล่ตามผู้เล่นดั้งเดิมชนิดหายใจรดต้นคอ และเป็นไปได้ว่า ในอนาคตอันใกล้ อีคอมเมิร์ซในรูปแบบ “Shoppertainment” อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ที่ผลักดันให้ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและแบรนด์ต่าง ๆ ต้องปรับตัวตาม หากไม่ต้องการหลุดจากการแข่งขันในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างคอนเทนต์ ความบันเทิง และการค้า
7. สงครามนางงาม! MGI ซื้อลิขสิทธิ์มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ส่วน แอน จักรพงษ์ – JKN ถูกอายัดทรัพย์สิน
ช่วงต้นปี 2568 วงการนางงามมีความเคลื่อนไหวสุดจะฮือฮา เล่นเอาแฟนๆนางงามทั้งหลายถึงกับต้องอ้าปากค้าง เมื่อ บมจ. มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MGI ของ “บอสณวัฒน์” คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ผู้ก่อตั้งมิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้าซื้อลิขสิทธิ์การจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) ปี 2568 – 2572 รวม 5 ปี มูลค่า 180 ล้านบาท
แม้ก่อนหน้านี้ “บอสณวัฒน์” และ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” เจ้าขององค์กรนางงามจักรวาล หรือ Miss Universe Organization (MUO) ผู้ถือลิขสิทธิ์การประกวดมิสยูนิเวิร์ส (Miss Universe) และมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (MUT) ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันก็ตาม ซึ่งในวันแถลงข่าว MGI ซื้อลิขสิทธิ์มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ คุณณวัฒน์ บอกว่า “หลายคนสงสัยว่าไปคุยกับคุณแอนตอนไหน ต้องบอกว่าเราคุยกันตลอด เพราะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเวทีประกวดนางงามในตลาดสากล” ส่วน “แอน จักรพงษ์” ย้ำด้วยว่า “เรารักกัน รักที่จะร่วมมือกัน รักที่จะให้องค์กรประสบความสำเร็จ รักที่จะทำให้แฟนคลับมีความสุข”
แต่แล้ว…ความวุ่นวายของวงการนางงามในปี 2568 ก็ยังไม่จบ ไม่สิ้น หลังจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ได้ยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป หรือ JKN เนื่องจากวินิจฉัยแล้วว่าไม่มีเหตุอันสมควรและไม่มีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการได้ตามกฎหมาย ทำให้ JKN ไม่ได้อยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลายอีกต่อไป
สิ่งที่ตามมาคือ ก.ล.ต. มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ JKN กรรมการบริษัท รวมทั้ง “แอน จักรพงษ์” เป็นเวลา 180 วัน โดยหนึ่งในทรัพย์สินสำคัญของ JKN คือ Miss Universe Organization ที่ถือหุ้นอยู่ 52% ร่วมกัน “ราอูล โรชา คานตู” มหาเศรษฐีจากเม็กซิโก ถือหุ้น 48% ก่อนหน้านี้ “ทีซีจี โซเชียลมีเดีย กรุ๊ป” ได้ประกาศพร้อมซื้อ Miss Universe Organization 100% มูลค่า 3,500 ล้านบาท โดยต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเวทีประกวดนางงามระดับโลก Miss Universe ว่าจะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันเวทีประกวด Miss Universe ที่ประเทศไทยก็ชุลมุนไม่แพ้เวทีธุรกิจ มีทั้งการแจ้งความ มีทั้งนางงามงอนบอส ผลการจัดอันดับที่ขัดใจคนดู ฯลฯ ปีหน้าเวทีประกวดที่ยาวนานที่สุดในจักรวาลจะก้าวย่างไปในทิศทางใด ตอนนี้ต้องบอกว่าปวดเศียรเวียนเฮดกันไปก่อนนะจ๊ะ สาวๆ
8. AI เทคโนโลยีที่ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” แต่คือ “ของจริง”
จากที่เคยเป็นแค่เครื่องมือทดลองสุดว้าวในปี 2024 ปี 2025 ได้กลายเป็นปีที่เปลี่ยนภาพจำของ AI ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเรียกได้ว่า Generative AI ออกมาเขย่าแวดวงการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ และกลายเป็นหัวใจของหลาย ๆ แคมเปญ ตั้งแต่ช่วยออกแบบโฆษณา การคิดข้อความเพื่อสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล ไปจนถึงจุดที่ Chatbot ไม่ได้แค่ตอบคำถาม แต่คือพนักงานขายคนใหม่ และสามารถปิดการขายได้จริง
ตัวอย่างจากแบรนด์ระดับโลกในการใช้ Gen AI มีหลากหลาย เช่น Nutella ที่ใช้ AI สร้างฉลากสินค้าที่แตกต่างกันมากถึง 7 ล้านแบบ แถมยังขายดิบขายดี เนื่องจากมันไปกระตุ้นกลไกทางจิตวิทยาของมนุษย์ที่อยากครอบครองสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียว และเมื่อได้ครอบครองแล้ว ก็รู้สึกด้วยว่าสินค้าดังกล่าวมีมูลค่า กลายเป็นของสะสมได้อีกต่อด้วยนั่นเอง
หรือการใช้ Gen AI Chatbot เป็นพนักงานขายคนใหม่ของเว็บไซต์ Daydream ที่ผู้พัฒนาอยากให้ประสบการณ์การช้อปของลูกค้าเปลี่ยนจากการพิมพ์ลงในช่องค้นหา มาเป็นการสนทนากับ AI (คล้ายกับการที่เราเดินไปหน้าร้านแล้วคุยกับพนักงาน) โดยแชทบอทสามารถทำหน้าที่ตั้งแต่การให้ข้อมูล แนะนำสินค้า เปรียบเทียบตัวเลือก ไปจนถึงการปิดการขายในบทสนทนาเดียว ซึ่งช่วยให้กระบวนการเหล่านี้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าครั้งใหญ่ในโลกอีคอมเมิร์ซอีกด้วย
สำหรับนักการตลาด ชั่วโมงนี้จึงไม่ใช่การตั้งคำถามว่า “ควรใช้ AI หรือไม่” แต่เป็นปีที่ทุกคนกำลังแข่งขันว่า ใครจะสามารถใช้ AI ได้ลึก ฉลาดและทรงประสิทธิภาพกว่ากัน และนั่นทำให้คนทำงานทั้งสายการตลาดตลอดจนเอเจนซี่อาจต้องปรับตัวไปสู่บทบาทใหม่ เช่น การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ Prompt เพื่อดึงศักยภาพของ AI ออกมาให้ได้มากที่สุด และตอบโจทย์แบรนด์ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
9. สงครามหม้อต้มเดือดสุด ปีหน้าซัดกันแรงกว่าเดิมแน่
อีกหนึ่งประเด็นร้อนประจำปีคงหนีไม่พ้น “สงครามหม้อต้ม” มูลค่าตลาดกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เมื่อน้องใหม่มาแรงอย่าง “สุกี้ตี๋น้อย” ครองใจกวาดรายได้ในกลุ่มผู้บริโภคระดับแมส ด้วยจุดเด่นด้านราคาที่คุ้มค่า ประกอบกับระยะเวลาการเปิด-ปิดสาขา ที่เอาใจคนนอนดึก / คนที่ทำงานเลิกดึก ในที่สุด เดือนกรกฏาคม พี่ใหญ่อย่าง MK ก็อดรนทนไม่ไหว ฟาดกลับด้วยการเปิดตัว Bonus Suki ที่อาศัยราคาย่อมเยาว์ และศักยภาพด้านการบริหารจัดการซัพพลายเชนทั้งหลาย ไล่เปิดสาขาใหม่รัวๆ รวมทั้งปรับสาขาบางแห่งให้กลายเป็น MK Premium Buffet ที่มีให้เลือก 3 ราคาใน 1 ร้าน
มาถึงปลายปี สงครามหม้อเดือดก็ร้อนระอุยิ่งกว่าเก่า เมื่อช่วงปลายพฤศจิกายน ที่ผ่านมา “เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือ CRG ก็ปิดดีลยักษ์มูลค่ากว่า 940 ล้านบาท เข้าถือหุ้น “ลัคกี้สุกี้” ในสัดส่วน 40% ทำให้แบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของยักษ์ใหญ่อย่างเครือเซ็นทรัลในทันที ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตาว่าปีหน้าฟ้าใหม่ ลัคกี้สุกี้ ภายใต้ชายคาใหม่อย่างจะสามารถปูพรมสาขาและสาดแคมเปญได้เดือดมากน้อยสักแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ “สงครามหม้อต้ม” ที่มียักษ์ใหญ่ 3 รายในตลาดแบบนี้ รับรองว่าเดือดไม่แพ้ปี 2568 อย่างแน่นอน
10.คนทำงานคิดหนัก องค์กรเริ่มเกษียณตอนอายุ 45
จากยุคเดิมที่คนเริ่มต้นทำงานอายุ 20 กว่า แล้วเกษียณอายุ 60 ปี ทำให้มีเวลาเก็บเงินเกือบ 40 ปี แม้มีโครงการ Early Retirement ก็จะเริ่มที่อายุ 55-58 ปี จากนั้นเริ่มขยับมาที่ 52 ปี แต่ก็ยังอยู่ที่อายุเลข 5
แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจเติบโตต่ำมาต่อเนื่อง ทำให้ภาคธุรกิจลดต้นทุน-ลดกำลังการผลิต กระทบมาถึงรายได้คนทำงาน แถมภาคธุรกิจหันมาใช้ AI ทำงานแทนคนในหลายสาขาอาชีพ ทำให้เสี่ยงตกงาน วันนี้นับเป็นความท้าทายของสังคมไทย ที่หลายคนต้องเผชิญความเสี่ยงก่อนวัย ปี 2568 จึงเห็นปรากฎการณ์เกษียณเริ่มที่วัย 45
เมื่อ ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ประกาศโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยให้พนักงานอายุ 45 – ต่ำกว่า 60 ปี สมัครเข้าโครงการได้ เพื่อรับเงินชดเชยและเงินพิเศษสูงสุด 12 เดือน การเปิดทางให้เกษียณทำงานที่อายุ 45 ปี กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากของ “มนุษย์เงินเดือน” วัยกลางคนที่ต้องเริ่มเข้าสู่ Early Retire
ท่ามกลางสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ไตรมาส 1 ปี 2568 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 87.4% ผลศึกษาพบว่า “คนไทยเป็นหนี้เร็ว มีหนี้นาน เกษียณแล้วยังมีหนี้”
ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนสั่นคลอนต่อฐานะการเงินของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะ “คนชั้นกลาง” ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “เดอะแบก” ที่มีภาระดูแลพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวตนเอง จากที่เคยมั่นคง อาจกลายเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ได้ง่าย หากขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะรายได้หายไป แต่ภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายครอบครัวยังคงอยู่ ดังนั้นการวางแผนทางการเงินจึงทวีความสำคัญขึ้นมากกว่าที่เคย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายรอบด้าน











