HomeDigitalGoogle Cloud เปิดความสำเร็จโปรเจ็ค “PanyaThAI” โชว์ผลงาน 15 องค์กร ผู้กล้าสู่ยุค Agentic AI

Google Cloud เปิดความสำเร็จโปรเจ็ค “PanyaThAI” โชว์ผลงาน 15 องค์กร ผู้กล้าสู่ยุค Agentic AI

แชร์ :

คุณอรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย

Google Cloud เปิดความสำเร็จ “PanyaThAI” โปรเจ็คนำร่อง Agentic AI  ในฐานะโครงการยกระดับศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนา-ประยุกต์-ขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร พร้อมเปิดรายชื่อ 15 องค์กรไทยที่ได้เข้าร่วม และใช้ Agentic AI สร้างการเติบโตจากหลากหลายอุตสาหกรรม

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

สำหรับ 15 องค์กรที่อยู่ในโปรเจ็ค PanyaThAI ดังกล่าว  ประกอบด้วย บิทาซซ่า (Bitazza), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University), ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Dhipaya Group Holdings), ฟินโนมีนา (Finnomena), ไทยสมุทรประกันชีวิต (Ocean Life Insurance), ซีเอ็ดยูเคชั่น (SE-ED), บริษัท ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ จำกัด (Shop Global E-Commerce Company Limited), สยามพิวรรธน์ (Siam Piwat), แสนสิริ (Sansiri), สคูลดิโอ (Skooldio), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), ไทยวาโก้ (Thai Wacoal), ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO Financial Group), ท็อปส์ (TOPS)  และ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป (True Digital Group)

เปิดที่มาโครงการ PanyaThAI

สำหรับโครงการ PanyaThAI เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา โดยคุณอรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย มองว่า หลายบริษัทมีไอเดียเกี่ยวกับการนำ AI มาปรับใช้ภายในองค์กร จึงได้จับมือกับ 15 องค์กรที่มีแนวคิดดังกล่าวและเริ่มต้นโปรเจ็ค PanyaThAI เป็นการนำร่อง

ส่วนที่มาของชื่อ “PanyaThAI” (ปัญญาไท) พบว่าตั้งโดย Gemini  ซึ่งเป็นเอไอของ Google โดยเป็นการเล่นคำระหว่างคำว่า “ปัญญา” และคำว่า “ไท” ซึ่งสะท้อนภาพของการผสานสติปัญญา และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย เข้ากับเครื่องมือทางเทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม AI

ซึ่งนอกจากเทคโนโลยีแล้ว โครงการดังกล่าวยังมีพันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาและการดำเนินงานของ Google Cloud ประกอบด้วย Accenture, Deloitte, Digithun Worldwide, HoriXonT8, MFEC, NTT DATA, Skooldio และ Tridorian โดยทาง NTT DATA ยังได้ประกาศแผนเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Google Cloud ในประเทศไทยอีก 300 คน ครอบคลุมทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์, และการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย เพื่อยกระดับความพร้อมในการสนับสนุนโครงการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย

ส่วนในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่ามีโครงการในลักษณะเดียวกันกับประเทศไทย เกิดขึ้นในอีกสองประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ 

เบื้องหลังการขับเคลื่อน PanyaThAI 

จุดเด่นของโครงการ PanyaThAI คือการดำเนินตามแนวทางแบบ Full-Stack ของ Google เริ่มตั้งแต่มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะ และ งานวิจัยจาก Google DeepMind ไปจนถึงโมเดลพื้นฐานระดับแนวหน้าภายในพอร์ตโฟลิโอขนาดใหญ่ของ Google อาทิ Veo 3.1, Gemini 3, Gemini 3 Pro Image หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nano Banana Pro และ Gemini 2.5 Computer Use รวมถึงแพลตฟอร์มแบบครบวงจรอย่าง Vertex AI และ Gemini Enterprise ตลอดจนแอปพลิเคชันสำเร็จรูปอย่าง Customer Engagement Suite และ Google Workspace

ภายใต้โครงการนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI จาก Google Cloud พร้อมด้วยพันธมิตรในระบบนิเวศจะร่วมกันสนับสนุนให้องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใน Stack เหล่านี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อพัฒนาและปรับใช้โซลูชัน Agentic AI ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมการใช้งานหลากหลายรูปแบบ กระบวนการทำงาน และเวิร์คโฟลว์ โดยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว ต้นทุน และความปลอดภัยนั่นเอง

AI สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 7.3 แสนล้าน?

ภายในงานแถลงข่าว ได้มีการอ้างอิงผลการวิจัยจาก Public First เผยว่าหากองค์กรท้องถิ่นสามารถนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ราว 730,000 ล้านบาท (ประมาณ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2030

นอกจากนี้ งานวิจัยฉบับดังกล่าวยังระบุถึง 3 อุปสรรคหลักที่จำกัดองค์กรหลายแห่งจากการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) การทำให้โซลูชัน AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง 2) การขาดแหล่งข้อมูลที่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI 3) การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการจัดการข้อมูลและ AI อย่างเหมาะสม

คุณอรรณพ กล่าวต่อไปด้วยว่า “จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งรายงานว่าองค์กรของตนมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-10% จากการนำโซลูชัน AI ระดับองค์กรมาให้ทีมงานและผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรง นอกจากนั้นยังพบว่า องค์กรเหล่านั้นกำลังจัดสรรงบประมาณด้าน AI อย่างน้อยครึ่งหนึ่งไปยังแพลตฟอร์ม Agentic แบบครบวงจร ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการออกแบบกระบวนการดำเนินงานใหม่ และเสริมสร้างความเป็นผู้นำทางการตลาดให้กับบริษัทเหล่านั้น

“หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจังนั้นสามารถก้าวข้าม ‘Pilot Purgatory’ หรือการติดอยู่ในช่วงนำร่องไปได้สำเร็จ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลาเพียง 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI หรือแนวทางการทรานส์ฟอร์มทุกแห่งจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันได้

“สำหรับโครงการ PanyaThAI เรานำแบบแผนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จมามอบให้แก่องค์กรในประเทศไทย เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าถึงบริการ AI แบบครบวงจร พร้อมการฝึกอบรมและการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญที่จำเป็น ความมุ่งมั่นของเราคือการช่วยให้องค์กรสร้างทีมงานที่เข้าใจทั้งธุรกิจของตนและเทคโนโลยี AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแก้ไขโจทย์ที่ซับซ้อนและสร้าง ROI อย่างต่อเนื่องจาก AI ได้สำเร็จ โดยขณะนี้เราได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากองค์กรต่าง ๆ และตั้งขยายการสนับสนุนนี้ สู่องค์กรอื่น ๆ เพิ่มเติมจาก 15 องค์กรแรกที่เข้าร่วมโครงการ” คุณอรรณพ กล่าว

อย่างไรก็ดี คุณอรรณพระบุด้วยว่า การสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ย 727% นั้น ไม่ใช่องค์กรในประเทศไทย หรือภูมิภาคอาเซียน

เปิดเคสความสำเร็จ SE-Education สร้าง “บรรณารักษ์อัจฉริยะ

ภายใต้โปรเจ็ค PanyaThAI ซีเอ็ดได้ร่วมมือกับ Digithun Worldwide นำ Semantic Search Agent ระบบค้นหาอัจฉริยะที่เข้าใจความหมายของข้อความและขับเคลื่อนด้วย Generative AI มาเสริมในแพลตฟอร์ม SE-ED e-Marketplace ระบบนี้สร้างบน AI Stack ของ Google Cloud เพื่อช่วยยกระดับฟังก์ชันการค้นหาที่จากเดิมเป็นเพียงเครื่องมือค้นหาตามคีย์เวิร์ด ให้กลายเป็นบรรณารักษ์ พร้อมยกตัวอย่างการทำงานเช่น หากผู้ใช้ค้นหาคำว่า “เซลล์แบ่งตัวอย่างไรเพื่อสร้างเซลล์ใหม่” ระบบจะแสดงผลเป็นตำราเรียนชีววิทยา คู่มือการเรียนเฉพาะทาง และการ์ตูนวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ หรือหากค้นหาประโยคว่า “วิธีจัดการความกดดันในการทำงาน” ระบบจะนำเสนอรายการหนังสือที่คัดสรรเกี่ยวกับการจัดการความคิดเชิงลบ การสร้างสมดุลชีวิตการทำงาน และกลยุทธ์การพัฒนาตนเองในที่ทำงาน เป็นต้น

ความพิเศษของการปรับใช้ AI ในครั้งนี้ก็คือ เป็นการอ้างอิงจากฐานข้อมูลแค็ตตาล็อกของซีเอ็ด เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะไม่แนะนำสินค้าที่ ‘ไม่มีอยู่จริง’ จากนั้น ผลลัพธ์ที่ผ่านการคัดเลือกจะถูกส่งต่อไปยังโมเดล Gemini 2.5 Flash ซึ่งใช้กระบวนการวิเคราะห์และให้เหตุผลเชิงลึกในการจัดอันดับและเรียงลำดับสินค้าที่จะแสดง ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำและส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ โดยพบว่าอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) เพิ่มจาก 12% เป็น 27% ขณะเดียวกัน อัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที (Bounce Rate) ลดเหลือ 10% และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าอยู่ที่เพียง 6%

ไทยวาโก้สร้างโมเดล Generative Media ช่วยเปิดตัวโปรดักท์ใหม่เร็วขึ้น

ด้านคุณประณต เวสารัชวิทย์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย  ไทยวาโก้ (Thai Wacoal) หนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทย ที่เข้าร่วมในโปรเจ็คนี้ ได้เผยถึงการปรับใช้เอไอของบริษัทว่า มีการพัฒนาโซลูชัน Creative AI Agent ร่วมกับ Tridorian และขับเคลื่อนด้วย โมเดล Generative Media บน Vertex AI ของ Google โดยโซลูชันดังกล่าวสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรเวลาที่ต้องการเปิดตัวสินค้าใหม่ลงได้อย่างมาก

“ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวสินค้าในเฉดสีใหม่ แบรนด์จำเป็นต้องผลิตตัวอย่างสินค้าจริง จัดส่งไปยังสตูดิโอ และถ่ายภาพกับนางแบบใหม่อีกครั้ง เพราะนักช้อปออนไลน์ส่วนใหญ่ย่อมไม่เลือกซื้อสินค้าที่มองไม่เห็นภาพจริง ด้วยบทบาทเสมือน “โรงย้อมผ้าดิจิทัล” และ “สตูดิโอออกแบบเสมือนจริง” Creative Agent ใช้ศักยภาพของโมเดล Nano Banana ในการปรับแต่งภาพเฉพาะจุดโดยยังคงความสม่ำเสมอของวัตถุ ขณะเดียวกันยังใช้โมเดล Veo 3.1 เพื่อยกระดับคุณภาพภาพและเสียงให้มีความสมจริงสูงสุด เมื่อแปลงภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอ ด้วยความสามารถดังกล่าว ทีมบริหารผลิตภัณฑ์ของไทยวาโก้สามารถสร้างภาพสินค้าที่สมจริงและวิดีโอแบบ 360 องศา สำหรับผลิตภัณฑ์ทุกเฉดสีได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยเพียงการถ่ายภาพสินค้าจริงเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”

คุณแอนติก้า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ Tridorian กล่าวว่า “โมเดล Generative Media ของ Google สามารถจำลองคุณสมบัติของเนื้อผ้าและรูปทรงสามมิติของร่างกายมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ พร้อมคงรายละเอียดด้านแสง เงา รอยพับ และพื้นผิวไว้ครบถ้วน แม้ในขณะที่ปรับเฉดสีภาพ อีกทั้ง เรายังเชื่อมผลลัพธ์ของโมเดลเข้ากับฐานข้อมูลเฉดสีและมาตรฐานการผลิตของไทยวาโก้โดยตรง ทำให้ระบบไม่ต้อง ‘คาดเดา’ สี แต่สามารถดึงมาตรฐานการผลิตที่ถูกต้องมาใช้ และสร้าง ‘Digital Twin’ ที่ตรวจสอบได้และตรงกับสินค้าจริง โซลูชันนี้ช่วยให้ไทยวาโก้สามารถเปิดตัวและสร้างรายได้จากคอลเลกชันเสื้อผ้าหลายสีบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเปลี่ยนกระบวนการสร้างสื่อภาพและคอนเทนต์ดิจิทัลคุณภาพสูง ให้กลายเป็นโอกาสสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ดร.สุปราณี อุ่ยยะเสถียร รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจดิจิทัล ไทยวาโก้ กล่าวถึงความร่วมมือกับ Tridorian และ Google Cloud ว่า “ความร่วมมือนี้เป็นเสมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างจินตนาการของนักช้อปออนไลน์กับความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อของพวกเขา” เธอกล่าวต่อว่า “เมื่อ Creative Agent ของเราเริ่มให้บริการในไตรมาสที่ 1 ปี 2026 โซลูชันนี้จะไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาด้านการถ่ายภาพสินค้าและเร่งเวลาเข้าสู่ตลาดเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ไทยวาโก้เปลี่ยนไปสู่รูปแบบการผลิตที่หลากหลาย ปริมาณน้อย หรือการสั่งผลิตแบบ made-to-order ที่สามารถเชื่อมโยงการผลิตเข้ากับความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง นอกจากนี้ ในภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอ บริษัทได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI อื่น ๆ มาใช้งานแล้ว โดยรวมถึงความสามารถด้าน Virtual Try-On ของ Google Cloud เพื่อปลดล็อกข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ใหม่ ๆ ผ่านความสมจริงเชิงดิจิทัลและการปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคลในระดับมวลชน”

ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งเปิดตัวโซลูชัน ตรวจสภาพรถด้วย AI

ส่วนบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH กลุ่มธุรกิจประกันภัยและการเงินชั้นนำในภูมิภาค จับมือกับบริษัท ฮอไรซอน ที 8 จำกัด (HoriXonT8) บริษัทในเครือ TIPH ที่ร่วมทุนกับบริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 ผู้นำด้าน AI-Powered Digital Transformation ประกาศความร่วมมือ ในการผลักดันอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ยุค AI Transformation ภายใต้แนวคิด “AI for Insurance Transformation” ผ่าน 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ TIP Smart Car Inspection ระบบตรวจสภาพรถด้วย AI โดยใช้เทคโนโลยี Gemini บน Google Cloud Platform ลูกค้าสามารถตรวจสภาพรถก่อนทำประกันภัยด้วยตนเองผ่าน LINE Official Account ระบบจะประมวลผลวิดีโอแบบ Real-time วิเคราะห์ความเสียหายอย่างแม่นยำ โปร่งใส และเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบออกกรมธรรม์ทันที ช่วยลดเวลาการเดินทางเพื่อตรวจสภาพ และลดต้นทุนให้ลูกค้าได้มากกว่า 70%

ส่วนอีกหนึ่งโซลูชันคือ TIP AI ผู้ช่วยอัจฉริยะภายในองค์กรที่พัฒนาร่วมกับ Google Cloud เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Organization ทุกข้อมูลถูกประมวลผลบน Private Environment ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน Data Privacy & Compliance ทำให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อีกหนึ่งการพัฒนาโซลูชันที่น่าสนใจคือ Tisco Financial Group กับการพัฒนา RooDee ผู้ช่วยสำหรับพนักงาน โดย RooDee สามารถรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ให้กับพนักงานก่อนไปเสนอขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน – ประกันให้กับลูกค้า รวมถึงพนักงานสามารถเข้ามาเล่นจำลองบทบาท (Role-Play) กับ RooDee ก่อนได้ เพื่อฝึกซ้อมก่อนไปพบกับสถานการณ์จริง โดยในส่วนนี้เป็นการพัฒนาโซลูชันร่วมกับทาง MFEC ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ลดความเหนื่อยล้า และภาระงานด้านฝึกอบรมของซูเปอร์ไวเซอร์ลงได้


แชร์ :

You may also like