
ข้อมูลวิจัยล่าสุดของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ในงาน “Pawssible Society: Pet Society Conference 2025” ชี้ให้เห็นว่าอนาคตตลาดสัตว์เลี้ยงไทย ยังคงเป็น “ดาวรุ่ง” ที่น่าจับตา คาดการณ์ปี 2569 มูลค่าธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดสัตวร์เลี้ยงทะลุ “แสนล้านบาท”
ทาสสายเปย์จ่ายกว่า 50,500 บาทต่อปี/ตัว
อาจารย์ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่ามีสถิติที่น่าสนใจระบุว่าชาว Pet Humanization ยอมใช้จ่ายเงินเพื่อสัตว์เลี้ยงสูงถึง 50,500 บาทต่อปี/ตัว ในขณะที่ Pet Owners ธรรมดามีค่าใช้จ่ายเพียง 7,910 บาทต่อปี/ตัว
พฤติกรรมเจ้าของสัตว์เลี้ยงพร้อมทุ่มเทและทุ่มทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของสมาชิกในครอบครัวนี้ เป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงไทยเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ยปีละ 13.2% จากมูลค่า 3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 แตะ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าจะทะลุ 1.01 แสนล้านบาทในปี 2569
กระแสดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าหัวใจของตลาดสัตว์เลี้ยงวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่สินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการดูแลขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังต้องตอบโจทย์ “Peace of Mind” ที่ทำให้เจ้าของมั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงจะมีชีวิตที่ดีและอายุยืนยาว ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของผู้ประกอบการและนักการตลาดควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่มากยิ่งขึ้น CMMU จึงได้จัดทำงานวิจัย “โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P – กรอบกลยุทธ์เชิงธุรกิจสัตว์เลี้ยง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม แรงจูงใจ และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงเพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและสามารถนำผลวิจัยไปต่อยอดและพัฒนากลยุทธ์เชิงธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการทำวิจัยครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่าง 357 คน (Baby Boomers & Gen X = 102 คน Gen Y = 155 คน และGen Z = 100 คน) ในจำนวนนี้เป็นเจ้าของสุนัข 160 คน แมว 160 คน และสัตว์เลี้ยงพิเศษหรือ Exotic Pets อีก 37 คน
เจาะอินไซต์ทาสสัตว์เลี้ยง 4 กลุ่มสินค้า
จากการเจาะอินไซต์พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและบริการของผู้เลี้ยงใน 4 หมวดหลัก ได้แก่ ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods) การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) และเทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) สรุปได้ดังนี้
1. ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods)
– ผู้เลี้ยงตัดสินใจเลือกซื้ออาหารโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบมากที่สุดถึง 56% ตามด้วยราคาที่เหมาะสม 45% ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ 41% และจากรีวิวและความสะดวกในการซื้อ 20%
– การใช้จ่ายเงินอาหารสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยสูงถึง 32,000 บาทต่อปี/ตัว และยังมีกลุ่มที่ยอมจ่ายเงินมากกว่า 36,000 บาทต่อปี/ตัว สูงถึง 30% และยอมจ่ายมากกว่า 120,000 บาทต่อปี/ตัว ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม Super Premium Segment ถึง 7.4%
– Gen Y ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวไม่มีลูก นิยมเลี้ยงสัตว์แทนลูก มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงและสัดส่วน Top Spender มากที่สุด เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดสัตว์เลี้ยง
2. การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness)
– ผู้เลี้ยงนิยมพาสัตว์เลี้ยงไปรับบริการด้านสุขภาพที่คลินิกมากที่สุด 63.3% โรงพยาบาลเอกชน 57.1%
– 3 อันดับบริการยอดนิยม ได้แก่ ฉีดวัคซีน 86.3% ตรวจสุขภาพ 65.3% ทำหมัน 61 %
– ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการใช้บริการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ 10,000 -30,000 บาทต่อปี/ตัว
– Gen Z ให้ความสำคัญกับสุขภาพสัตว์มากที่สุด ส่วนเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกสถานพยาบาล ทุก Gen ลงความเห็นตรงกันว่าเลือกจากใกล้บ้าน ราคาสมเหตุสมผล และความเชี่ยวชาญของสัตวแพทย์เป็นหลัก
– 3 บริการสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ Grooming 51.6%, Hotel 18.5% และ Pet Friendly 11.5%
3. ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance)
– ผู้เลี้ยงสัตว์ 71.4% รู้จักผลิตภัณฑ์ประกันภัยสัตว์เลี้ยงแต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ใช้บริการจริง
– ปัจจัยเลือกซื้อประกันให้ความสำคัญกับความคุ้มครองครอบคลุม มากที่สุดถึง 75.8% ค่าเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล 60.6% ความง่ายในการเคลมและความสะดวกในการใช้บริการ 57.6%
– ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ 71 % ต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่เกิน 2,500 บาทต่อปี/ตัว
4. เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech)
– การรับรู้ของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีสัตว์เลี้ยง 5 กลุ่ม พบว่า Smart home device เป็นที่รู้จักมากที่สุด 93% และมีโอกาสเติบโตสูงสุดในตลาด Pet Tech รองลงไป Service & Commerce Platforms 78%, Health and Nutrition 77%, Behavior & Emotion Tech 67% และ Genetic & Bio Tech 64%
– Baby Boomers และ Gen X 67% เปิดใจและอยากทดลองใช้ ในขณะที่ Gen Y และ Gen Z 24% อยากลองเทคโนโลยีเพื่อความสะดวก และ 34% พร้อมจ่ายเพื่อความสะดวกสบายของสัตว์เลี้ยง
– ความคาดหวังที่ต้องการได้จาก Pet Tech สูงสุด คือ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ด้วย
– Gen Z ให้ความสนใจกับ Pet Tech มากที่สุดเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับสัตว์เลี้ยง
– ปัจจุบันตลาด Pet Tech ในไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แม้การรับรู้จะเพิ่มสูงแต่การนำไปใช้งานจริงยังต่ำ เนื่องจากผู้เลี้ยงยังติดปัญหาเรื่องราคา ความน่าเชื่อถือ และความยุ่งยากในการใช้งาน
รู้จัก 5P การตลาดมัดใจทาสสายเปย์
คุณณัชชารีย์ โชติธนะชัยพงษ์ นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่าจากผลการวิจัยได้นำมาสรุปเป็น “โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P กลยุทธ์ธุรกิจสัตว์เลี้ยง” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “Peace of Mind” ให้เจ้าของที่พร้อมลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยง สรุปได้ดังนี้
1. Pet Food – Premiumization “เลือกเพราะเชื่อใจ กินเพราะสุขภาพ”
– จากเดิมที่อาหารสัตว์เลี้ยงเป็นแค่การตอบสนองความอยู่รอดขั้นพื้นฐาน แต่ปัจจุบันเจ้าของพร้อมจ่ายเพื่ออาหารเกรดพรีเมียมที่จะช่วยทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว การเลือกซื้ออาหารและผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดจึงไม่ได้เป็นแค่การดูแลต่อมื้อหรือแค่การให้รางวัล แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้าง Peace of Mind ว่าสัตว์เลี้ยงจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดและอยู่ด้วยกันไปนานๆ
2. Pet Health & Wellness – Prevention “สุขภาพดี เริ่มที่การดูแลเชิงป้องกัน”
– ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก “รักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “การดูแลสุขภาพเชิงรุก คือ ป้องกันก่อนเป็น” และกำลังกลายเป็น “New Norm” ของผู้เลี้ยงสัตว์ยุคใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเจ้าของที่ใส่ใจการดูแลแบบองค์รวม ตั้งแต่การฉีดวัคซีน การตรวจสุขภาพเป็นประจำ ไปจนถึงการเลือกอาหารเสริม ที่ช่วยยืดอายุขัยซึ่งล้วนเป็นการสร้าง Peace of Mind ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด
3. Pet Insurance – Package “คุ้มค่า และ คุ้มครอง ตอบโจทย์แล้วจริงไหม?”
– เจ้าของสัตว์เลี้ยงมองหาแพ็กเกจประกันที่คุ้มครองครอบคลุมทุกความเสี่ยงในราคาจับต้องได้ แม้ว่าผู้เลี้ยงกว่า 71% จะรู้จักประกันสัตว์เลี้ยง แต่มีเพียง 9 % เท่านั้นที่ใช้บริการจริง สะท้อนให้เห็นทั้งช่องว่างในการสร้างความเข้าใจความน่าเชื่อถือและโอกาสทางการตลาด การนำเสนอแพ็กเกจที่ตอบโจทย์ตรงใจจึงเปรียบเสมือนการซื้อ Peace of Mind ให้กับเจ้าของที่ต้องการสร้างหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงสำหรับทุกสถานการณ์
4. Pet Tech – Proactivity “ผูกพันใกล้ชิด ด้วยเทคโนโลยีที่ใส่ใจ”
– เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง กำลังเริ่มมีบทบาทสำคัญ โดยเจ้าของ 39% ให้ความสนใจใช้ Pet Tech เพื่อให้รู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ใกล้กัน ซึ่งเป็นโอกาสของแบรนด์ที่จะสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าแค่การขายอุปกรณ์การติดตามตำแหน่ง และดูแลสุขภาพแบบเรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่เป็นการมอบ Peace of Mind ให้เจ้าของรู้สึกได้ดูแลสัตว์เลี้ยงได้อย่างใกล้ชิดโดยไม่คลาดสายตา
5. Pet Legal – Protection “กฎหมายสัตว์เลี้ยงเพื่อการปกป้องทั้งสัตว์เลี้ยง เจ้าของ และทุกคนในสังคม”
– การตระหนักรู้ถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงมีสูงขึ้นกว่า 79% โดยเฉพาะกฎหมายใหม่ของกรุงเทพมหานครฯ ที่บังคับใช้ปี 2569 สะท้อนถึงความต้องการให้มีการปกป้องทั้งคน สัตว์ และสังคม การปฏิบัติตามกฎหมายและให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์ จึงเท่ากับการสร้าง Peace of Mind ให้กับทั้งเจ้าของ และชุมชนรอบข้างว่าทุกชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างปลอดภัยและสงบสุข
หากแบรนด์ต้องการสร้าง “Peace of Mind” และเข้าไปนั่งใจลูกค้าได้สำเร็จ จะต้องยกระดับจากผู้ขายสินค้าไปสู่การเป็น “ผู้ดูแล” ที่เข้าใจความต้องการเชิงลึกและตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างแท้จริง การสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดนี้จึงไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขาย แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวบนพื้นฐานของความเข้าอกเข้าใจ ไว้วางใจ และตระหนักถึงคุณค่าของสัตว์เลี้ยงว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกสำคัญของครอบครัวลูกค้าอย่างแท้จริง”
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE






