HomeDigitalจับตา “Whoop” Wearable ไร้หน้าจอ ใช้โมเดล Subscription ดันเทรนด์ใหม่วงการสุขภาพ – ดึงคนดังระดับโลกใช้งาน

จับตา “Whoop” Wearable ไร้หน้าจอ ใช้โมเดล Subscription ดันเทรนด์ใหม่วงการสุขภาพ – ดึงคนดังระดับโลกใช้งาน

แชร์ :

เรียกได้ว่าเป็น Wearable มาแรงใน พ.ศ. นี้สำหรับ Whoop (อุปกรณ์ IoT) แนวใหม่ที่มาพร้อมความ “ไร้หน้าจอ” โดย Whoop กำลังเป็นที่สนใจของบรรดาคนดังโลก ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน โรนัลโด ที่สวมอุปกรณ์ดังกล่าวในศึกยูโร 2024 หรือ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ คนดังจากทีมลิเวอร์พูล, ไมเคิล เฟลป์ส นักกีฬาโอลิมปิก, ไทเกอร์ วูด นักกอล์ฟระดับตำนาน ฯลฯ

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

สิ่งที่ทำให้ Whoop เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนดังเหล่านี้ ข้อแรกอาจต้องยกให้ดีไซน์เรียบง่ายที่ทำให้มันดูเหมือนสายรัดข้อมือทั่วไป และด้วยความไม่มีหน้าจอ ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลว่ามันจะเสียหาย อีกทั้งยังทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นอย่างมากด้วย (เวอร์ชันล่าสุดคือสามารถใช้งานได้นาน 14 วัน)

ประการที่สอง Whoop มีการเก็บข้อมูลสุขภาพค่อนข้างละเอียด ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับ AI ก็ทำให้มันกลายเป็นโค้ชด้านการดูแลสุขภาพที่น่าสนใจกว่าอุปกรณ์ในรูปแบบเดิม ๆ

นอกจากนั้น สิ่งที่ Whoop แตกต่างจากนาฬิกาอัจฉริยะอื่น ๆ อีกข้อ อาจเป็นคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง โดยส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลที่ Whoop เก็บไป ทั้งจากข้อมูลไบโอเมทริกซ์, GPS และการตอบแบบสอบถาม ฯลฯ (เช่น ข้อมูลการนอนหลับ ความเครียด การออกกำลังกาย โภชนาการ ฯลฯ) และทำให้ระบบสามารถให้คำแนะนำด้านสุขภาพแบบเฉพาะเจาะจงกับร่างกายของผู้ใช้งานแต่ละรายนั่นเอง

ทั้งนี้ ในส่วนของคำแนะนำจาก Whoop พบว่ามีตั้งแต่การสรุปพฤติกรรมรายวัน เช่น คุณภาพการนอน ความสม่ำเสมอในการพักผ่อน ระดับความเครียด ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีข้อมูลเชิงลึกประจำวัน พร้อมคำแนะนำด้านการออกกำลังกาย การพักผ่อน โภชนาการ และการดื่มน้ำ โดยอ้างอิงจากค่าความเครียด การฟื้นตัว รวมถึงข้อมูลสภาพอากาศและ GPS ที่ระบบวิเคราะห์มาให้ด้วย

Cristiano Ronaldo การันตีเรื่องความฟิต

ในเรื่องการตลาด Cristiano Ronaldo ถูกแต่งตั้งให้เป็น Global Ambassador ของ WHOOP และไม่เพียงปรากฏในแคมเปญโฆษณาเท่านั้น แต่ยังเป็น “นักลงทุน” ในบริษัทด้วย โดยตัวเขาเองสวม WHOOP ขณะฝึกซ้อม พักผ่อน และฟื้นตัว ความเป็นนักกีฬาระดับตำนานที่ยังค้าแข้งอยู่ในสนาม รวมทั้งสภาพร่างกายความฟิตของโรนัลโด้ ส่งผลดีต่อ  Whoop อย่างยิ่ง

โดยเฉพาะการยอมรับในกลุ่มคนรักสุขภาพ และเร่งการเติบโตในตลาดใหม่ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่เขาปัจจุบันค้าแข้งอยู่ จนเป็นที่มาของดีลความร่วมมือ WHOOP กำลังขยายตลาดอย่างแข็งแรงในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น Gulf Cooperation Council (GCC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต บาห์เรน และขยายไปยัง ฮ่องกง, อิสราเอล, เกาหลีใต้, ไต้หวัน รวมถึงอินเดีย เม็กซิโก และบราซิล

เปิดตัวงานวิจัยด้านสุขภาพจากข้อมูลผู้ใช้งานกว่า 14,000 คน

การมีข้อมูลจำนวนมากยังทำให้ Whoop ผลิตงานวิจัยด้านสุขภาพออกมาได้ด้วยเช่นกัน โดยงานวิจัยดังกล่าวจัดทำขึ้นผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Monash ในออสเตรเลียและมหาวิทยาลัย Harvard และได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications  ที่พบว่า การออกกำลังกายที่มีความเครียดสูงภายใน 4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน สามารถรบกวนการนอนหลับ ลดการพักผ่อนโดยรวม และทำให้การฟื้นตัวของระบบหัวใจและหลอดเลือดบกพร่องได้อย่างมีนัยสำคัญ (เป็นการศึกษาจากข้อมูลผู้ใช้งานจำนวน 14,689 คน ตลอดระยะเวลากว่า 4 ล้านคืน)

อย่างไรก็ดี ในด้านการใช้งานก็พบว่ามีคำวิจารณ์ออกมาไม่น้อย เช่น ผู้ใช้งานบางส่วนมองว่าสายรัดมาตรฐานแบบผ้านั้นเปียกชื้นง่ายและสะสมเหงื่อ จึงอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย

กับอีกข้อคือการไม่มีหน้าจอ (ที่แม้จะเป็นแนวคิดตั้งต้นของบริษัทกับการเน้นการออกกำลังกายโดยไม่ต้องเช็กตัวเลขตลอดเวลา) แต่ก็มีผู้ใช้อีกจำนวนมากที่อยากเห็นค่า – สถิติต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ขณะวิ่งหรือออกกำลังกาย

และส่วนที่สำคัญที่สุดที่ต้องเข้าใจก่อนใช้ Whoop ก็คือ เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ใช้หลักการขายเฉพาะในรูปแบบ Subscription เท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายรายเดือนอยู่ที่ราวๆ 30 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,000 บาท ไม่ใช่ดีไวซ์ที่ซื้อขาดแล้วใช้ต่อได้เรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งานเหมือนที่เราคุ้นเคยกับ Wearble Device อื่นๆ โดยแลกมากับการที่ซอฟท์แวร์ต่างๆ จะอัปเดทสม่ำเสมอ

โดยรวมแล้ว Whoop เหมาะกับคนที่จริงจังเรื่องสุขภาพ การฟื้นตัว และประสิทธิภาพในการฝึกจริงคนที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก และพร้อมลงทุนในแพ็ก Subscribe เพื่อข้อมูลแม่นยำสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทั่วไปอาจพบว่าระบบอาจซับซ้อนรวมทั้งมีราคาสูง

Whoop กับแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรม

แทนที่จะพึ่งการขายอุปกรณ์ครั้งเดียว Whoop กลับสร้างรายได้ประจำ (recurring revenue) ผ่านการเก็บค่าสมาชิกแบบรายเดือน/รายปี โดยโฟกัสลูกค้าพรีเมียมและสุขภาพจริงจัง ขณะเดียวกัน ระบบ Subscription ทำให้ผู้ใช้ “ติดอยู่ใน ecosystem” มากกว่าเดิม เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า Switching Costs และ Data Lock-in เพราะยิ่งเก็บข้อมูลยาวนาน ผู้ใช้ยิ่งย้ายค่ายยาก เนื่องจาก “ประวัติสุขภาพ” และโมเดลที่เรียนรู้พฤติกรรมรายบุคคล ทำให้ความภักดีต่อแบรนด์ไม่ได้เกิดจากฮาร์ดแวร์อีกต่อไป แต่เกิดจาก ฐานข้อมูลส่วนตัว กับ การเรียนรู้พฤติกรรมส่วนตัว ที่ทำให้การตัดสินใจเชิงอีโมชั่นทำใด้ยากกว่าเดิม

ทางด้านบริษัทเอง เมื่อมีลูกค้าสมัครสมาชิกในระยะยาว ก็ช่วยให้บริษัทคาดการณ์กระแสเงินสดและลงทุน R&D ต่อเนื่องได้มั่นคงกว่าโมเดลขายเครื่องครั้งเดียว (one-off device) ซึ่งอ่อนไหวต่อรอบอัปเกรดฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้มากกว่าเดิม  ที่จากเดิมเน้นการขายอุปกรณ์เป็นหลัก

นอกจากนี้ Whoop ยังกระตุ้นให้ผู้เล่นรายอื่นเร่งพัฒนาฟีเจอร์ AI/โค้ชในแอป—เช่น Fitbit Premium เปิดตัว Gemini-powered wellness coach และ Garmin ออก Connect Plus (เสียเงินเพิ่ม) เพื่ออินไซต์เชิง AI ซึ่งสะท้อนว่าทั้งอุตสาหกรรมกำลัง “ตามเกมซอฟต์แวร์” เพิ่มเติมจากตัวฮาร์ดแวร์ที่มากับอุปกรณ์แต่ละรุ่น

นับว่าการเข้ามาของ Whoop กำลังกลายเป็นแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรม เปลี่ยนเกม  Wearable จากการขายอุปกรณ์  สู่การขายบริการ Subscription ที่ขับเคลื่อนด้วย Data และ Insight ขณะเดียวกันฝั่งผู้บริโภคที่ใช้งานก็จะเกิด “ความคาดหวัง” สูงขึ้นในการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ ความฮิตของ Whoop ในตอนนี้อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเลยก็ว่าได้

 

Source

Source


แชร์ :

You may also like