ในยุคที่เราพึ่งพาเทคโนโลยีในการทำงาน และต้องแบกรับความคาดหวังจากทั้งองค์กรและลูกค้าเต็มไปหมด ทักษะการทำงานแบบ “Multitasking” หรือการทำหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกันนั้น กลายเป็นทักษะที่ถูกยกย่องว่าช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี ท่ามกลางกระแสนี้ ได้เกิดพฤติกรรมที่เรียกว่า “Taskmasking” ขึ้นมาด้วย ซึ่งความหมายของมันก็คือ แม้ภายนอกจะดูคล้ายว่ากำลังทำงานหลายด้านอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการ “ปกปิด” หรือ “แสร้งทำ” ว่ากำลังยุ่ง โดยที่ผลงานจริงอาจไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
ความหมายของ Taskmasking
Taskmasking มาจากการผสมคำระหว่าง Task (ภารกิจ/งาน) และ Masking (การปิดบังหรือพราง) หมายถึง การทำให้ดูเหมือนกำลังจัดการงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างภาพของความยุ่งหรือความขยัน แต่ในเชิงประสิทธิภาพกลับไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีคุณค่าเท่าที่ควร โดยตัวอย่างพฤติกรรม Taskmasking ได้แก่
- สลับหน้าจอไปมาระหว่างเอกสารหลายไฟล์ แต่ไม่ได้โฟกัสให้งานใดเสร็จสิ้น
- ตอบอีเมลและข้อความเล็กน้อยตลอดทั้งวัน แต่ไม่เริ่มงานหลักที่ต้องใช้สมาธิสูง
- เข้าประชุมออนไลน์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมเชิงเนื้อหาหรือการตัดสินใจ
- เปิดแท็บงานไว้หลายอันเพื่อ “โชว์ว่ากำลังทำ” แม้จริง ๆ จะไม่ได้ดำเนินการใด ๆ
ที่สำคัญ คำ ๆ นี้ยังได้ถูกบรรจุเข้าเป็นศัพท์ใหม่ของ Cambridge Dictionary อย่างเป็นทางการแล้วด้วย
ปัจจัยที่ทำให้เกิด Taskmasking
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิด Taskmasking พบว่ามีหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นการที่พนักงานได้รับแรงกดดันด้านภาพลักษณ์การทำงาน เพราะในหลายองค์กร ความยุ่งมักถูกตีความว่าเป็นความขยัน ทำให้พนักงานพยายามแสดงให้เห็นว่าตนกำลังยุ่งอยู่เสมอ, การประชุมหรือการสื่อสารที่มากเกินไป ทำให้พนักงานต้องตอบข้อความ การประชุมยาว และการอัปเดตงานบ่อยครั้ง ทำให้โฟกัสกับงานจริงได้ยาก
การขาดการจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization) เมื่อไม่รู้ว่างานใดสำคัญที่สุด พนักงานอาจเลือกทำงานยิบย่อยเพื่อรู้สึกว่าตน “ยังมีอะไรทำอยู่” และสุดท้ายคือ ความรู้สึกกดดันจาก Multitasking Culture ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ยกย่องการทำหลายอย่างพร้อมกัน ที่อาจกระตุ้นให้คนพยายามสร้างภาพว่าตนทำได้ ทั้งที่คุณภาพของงานอาจลดลงนั่นเอง
Pandemic จุดเริ่มต้น Taskmasking?
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พฤติกรรม Taskmasking พบมากขึ้นในช่วง Pandemic (ช่วงโควิด – 19 แพร่ระบาด) และต่อเนื่องมาถึงยุคที่การทำงานเปลี่ยนเป็นแบบ Hybrid มากขึ้น โดยข้อมูลการสำรวจของ FlexJobs ระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวยังพบมากในพนักงานกลุ่ม Gen Z และชี้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทหลายแห่งเริ่มเรียกตัวพนักงานกลับเข้าออฟฟิศ และโฟกัสไปที่การปรากฏตัวในที่ทำงานมากกว่าผลลัพธ์ในการทำงานจริง
วิธีลดและป้องกัน Taskmasking
แน่นอนว่า การที่องค์กรปล่อยให้เกิด Taskmasking มาก ๆ ย่อมส่งผลกระทบทั้งต่อตัวองค์กรเอง และตัวพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ ประสิทธิภาพงานลดลง, เกิดความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout), ทำให้การตัดสินใจล่าช้า, สูญเสียความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ จึงอาจต้องมีมาตรการต่าง ๆ ตามมา เพื่อบรรเทาภาวะ Taskmasking เช่น การจัดช่วงเวลาทำงานแบบโฟกัสเพียงหนึ่งงานโดยไม่มีสิ่งรบกวน, การจัดลำดับความสำคัญ, การลดการประชุมและการสื่อสารที่ไม่จำเป็น หรือจะใช้เทคโนโลยี (เช่น แอปบล็อกข้อความแจ้งเตือน) เข้ามาช่วยด้วยก็ได้
สำหรับคนทำงาน พฤติกรรม Taskmasking อาจเป็นกับดักที่เกิดจากแรงกดดันของวัฒนธรรมการทำงานแบบ “ต้องดูยุ่ง” ตลอดเวลา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของความขยัน การรับรู้และลดพฤติกรรมนี้จึงไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงาน แต่ยังสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นคุณภาพ ผลลัพธ์ และสุขภาพจิตของพนักงานให้เพิ่มขึ้นด้วย




